รูขุมขนอักเสบที่หัว ปุ่มรากผมอักเสบ รู้สาเหตุ พร้อมวิธีรักษาและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) คือภาวะที่รูขุมขนเกิดการอักเสบ มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกายที่มีขน แต่บริเวณที่พบได้บ่อยคือ หนังศีรษะ เพราะเป็นจุดที่มีเหงื่อออกง่าย มีการสะสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผม และเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเชื้อโรค

สารบัญ

รูขุมขนอักเสบ ปุ่มรากผมอักเสบ บนหนังศีรษะ คืออะไร?

ภาวะนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะสำคัญที่มักเกิดร่วมกัน ได้แก่:

  • รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): การอักเสบภายในรูขุมขน อาจเกิดจากแบคทีเรีย ยีสต์ หรือเชื้อรา นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการระคายเคือง การอุดตัน หรือการบาดเจ็บที่ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อ

  • ปุ่มรากผมอักเสบ (Perifolliculitis): การอักเสบรอบๆ รากผม มักเกิดร่วมกับรูขุมขนอักเสบ และแสดงอาการคล้ายกัน

เมื่อเกิดขึ้นบนหนังศีรษะ อาการจะปรากฏเป็น ตุ่มแดง ตุ่มหนอง หรือปุ่มนูนเล็กๆ ที่มาพร้อมอาการ คัน เจ็บ แสบ หรือระคายเคือง และในบางรายอาจพบว่าเกิด ผมร่วงเฉพาะจุด จากการ หนังศีรษะอักเสบ อย่างรุนแรง

อาการรูขุมขนอักเสบบนหนังศีรษะ สังเกตได้อย่างไร?

รูขุมขนอักเสบ VS สิวที่หัว
  • ตุ่มแดงหรือตุ่มหนอง:

 พบบ่อยที่สุด มักเป็นตุ่มเล็กสีแดง หรือมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองอยู่ตรงกลาง

  • มีเส้นผมอยู่ตรงกลางตุ่ม:

 จุดสังเกตสำคัญที่ช่วยแยกจากสิวทั่วไป เพราะแสดงว่าการอักเสบเกิดที่ “รูขุมขนโดยตรง”

  • อาการคัน เจ็บ หรือปวดแสบ

พบบ่อยร่วมกับตุ่มอักเสบ โดยเฉพาะเวลาสัมผัสหรือหวีผม

  • ตุ่มกระจายหลายจุด

 ไม่ได้เป็นเพียงจุดเดียว แต่มักกระจายทั่วหนังศีรษะ

  • บวมและแดง

 บริเวณรอบตุ่มอักเสบอาจมีอาการบวมแดงร่วมด้วย

  • ก้อนแข็งใต้ผิวหนัง (ในรายที่รุนแรง)

หากการอักเสบลึก อาจคลำเจอก้อนแดงแข็ง บางครั้งมีสีม่วงหรือเจ็บร่วมด้วย

  • ผมร่วงเฉพาะจุด

หากอักเสบรุนแรงและเรื้อรังอาจทำให้รูขุมขนถูกทำลาย ส่งผลให้เกิด “ผมร่วงเป็นหย่อมๆ”

 หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็น “สิวที่หัว เพราะลักษณะภายนอกที่ดูคล้ายกัน เช่น เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนอง มีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย แต่จุดที่แตกต่างชัดเจนคือ รูขุมขนอักเสบมักจะมีเส้นผมอยู่ตรงกลางตุ่ม ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของสิวทั่วไป

นอกจากนี้ สิวเกิดจากการอุดตันของไขมัน บนใบหน้า แต่รูขุมขนอักเสบมีสาเหตุหลักจาก การติดเชื้อหรือการระคายเคืองที่รูขุมขนโดยตรง

รูขุมขนอักเสบ ปุ่มรากผมอักเสบ เกิดจากอะไร?

รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) และปุ่มรากผมอักเสบ (Perifolliculitis) บนหนังศีรษะ เกิดจากการอักเสบที่เกิดขึ้นกับรูขุมขนและเนื้อเยื่อรอบๆ รากผม ซึ่งอาจมีสาเหตุและกลไกดังนี้ค่ะ:

สิ่งกระตุ้น (Initiating Factors):

  • การติดเชื้อ: แบคทีเรีย (เช่น Staphylococcus aureus), เชื้อรา (Malassezia spp., dermatophytes), ยีสต์, หรือไวรัส เข้าสู่รูขุมขนหรือผิวหนังรอบข้าง
  • การอุดตัน: เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว (keratinocytes), ไขมันส่วนเกิน (sebum), ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม, หรือสิ่งสกปรกสะสมในรูขุมขน
  • การบาดเจ็บ/การระคายเคือง: การโกน, การถอนผม, การเกา, การเสียดสีกับหมวก/ผ้าโพกศีรษะ, หรือการใช้สารเคมีที่รุนแรงกับหนังศีรษะ
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้ดีพอ

การตอบสนองของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (Immune Cell Response):

  • เมื่อสิ่งกระตุ้นเข้าสู่รูขุมขนหรือเนื้อเยื่อรอบข้าง ร่างกายจะรับรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
  • เซลล์ผิวหนัง (Keratinocytes): ซึ่งเป็นเซลล์หลักของหนังกำพร้า อาจหลั่งสารเคมีที่เรียกว่าไซโตไคน์ (cytokines) และเคโมไคน์ (chemokines) เพื่อส่งสัญญาณเตือน
  • เซลล์ภูมิคุ้มกันด่านแรก (Innate Immune Cells): เช่น มาโครฟาจ (macrophages), นิวโทรฟิลล์ (neutrophils) จะเคลื่อนที่มายังบริเวณที่เกิดเหตุการณ์
  • นิวโทรฟิลล์: เป็นเซลล์ที่สำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรีย จะเข้าทำลายเชื้อโรคและปลดปล่อยเอนไซม์ต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดหนอง

การขยายตัวของการอักเสบ (Inflammation Propagation):

  • การหลั่งสารอักเสบ เช่น ฮีสตามีน (histamine), โพรสตาแกลนดิน (prostaglandins), และไซโตไคน์ต่างๆ ทำให้เกิดอาการคลาสสิกของการอักเสบ ได้แก่:
    • แดง (Rubor): หลอดเลือดขยายตัว เลือดไหลเวียนมายังบริเวณนั้นมากขึ้น
    • ร้อน (Calor): อุณหภูมิสูงขึ้นจากการไหลเวียนของเลือดและเมแทบอลิซึมของเซลล์
    • บวม (Tumor): ของเหลวซึมออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อ
    • ปวด (Dolor): ปลายประสาทถูกกระตุ้นโดยสารอักเสบและแรงดันจากอาการบวม
    • การทำงานผิดปกติ (Functio Laesa): เช่น อาการคัน, ผมร่วง

การก่อตัวของหนอง (Pus Formation):

  • หากมีการติดเชื้อ โดยเฉพาะแบคทีเรีย นิวโทรฟิลล์ที่ตายแล้ว, เศษเซลล์, และเชื้อโรค จะรวมตัวกันกลายเป็น “หนอง” (pus) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของรูขุมขนอักเสบที่มีการติดเชื้อ

ปัจจัยภายนอกที่กระทบต่อหนังศีรษะและเส้นผม

ปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่เราเผชิญในชีวิตประจำวัน สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของหนังศีรษะและเส้นผมได้ ทั้งจากสิ่งแวดล้อม พฤติกรรม และการใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด ลองมาดูรายละเอียดกันค่ะว่าอะไรบ้างที่ควรระวัง:

  1. แสงแดดและรังสียูวี แสงแดดไม่ได้ทำร้ายแค่ผิว แต่ยังทำร้ายเส้นผมและหนังศีรษะโดยตรง รังสียูวีสามารถ:
  • ทำลายโปรตีนเคราติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นผม ทำให้ผมอ่อนแอ เปราะ และขาดง่าย
  • ทำให้ผมแห้งเสีย สีผมซีดจาง โดยเฉพาะในผู้ที่ทำสีผม
  • ทำร้ายหนังศีรษะ ทำให้เกิดอาการแสบ แดง หรือในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนังได้
  1. ความร้อน การสัมผัสกับความร้อนสูงเป็นประจำ ไม่ว่าจะมาจากธรรมชาติหรืออุปกรณ์ที่ใช้กับเส้นผม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำร้ายเส้นผมและหนังศีรษะ:
  • อุปกรณ์จัดแต่งทรงผม เช่น ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม หรือเครื่องม้วนผมด้วยความร้อนสูง สามารถทำให้เส้นผมสูญเสียความชุ่มชื้น กลายเป็นผมแห้งกรอบ แตกปลาย
  • น้ำร้อน: การสระผมด้วยน้ำร้อนจัดบ่อยๆ ทำให้เกล็ดผมเปิด ส่งผลให้เส้นผมสูญเสียโปรตีนและความชุ่มชื้น
  • สภาพอากาศร้อนชื้น: กระตุ้นให้หนังศีรษะผลิตเหงื่อและน้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนหรือการอักเสบได้
  1. สารเคมี สารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและกระบวนการจัดแต่งทรงผมหลายอย่าง มีผลกระทบต่อสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผม:
  • การย้อมผม, กัดสี, ดัด, ยืดผม: สารเคมีรุนแรงที่ใช้ในขั้นตอนเหล่านี้สามารถทำลายโครงสร้างของเส้นผม ทำให้ผมแห้งเสีย เปราะ และขาดง่าย นอกจากนี้ยังอาจทำให้หนังศีรษะเกิดการระคายเคืองหรืออักเสบได้
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผมที่ไม่เหมาะสม: แชมพู ครีมนวด หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีสารซัลเฟต แอลกอฮอล์ หรือซิลิโคนในปริมาณมาก อาจทำให้หนังศีรษะแห้ง ระคายเคือง หรือเกิดการอุดตันได้เช่นกัน
  1. มลภาวะ ฝุ่นละออง PM2.5 ควันรถ ควันบุหรี่ และสารพิษต่างๆ ที่ล่องลอยในอากาศ ล้วนมีผลเสียต่อหนังศีรษะและเส้นผม:
  • อุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดการระคายเคือง การอักเสบ และเพิ่มความเสี่ยงของ ผมร่วง
  • ทำลายเส้นผมโดยตรง ทำให้ผมหยาบกระด้าง ขาดความเงางาม
  • กระตุ้นให้หนังศีรษะผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น รังแค หรือรูขุมขนอักเสบ
  1. การดูแลและจัดแต่งทรงผมที่ไม่ถูกต้อง พฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน อาจดูเล็กน้อยแต่ส่งผลเสียสะสมต่อหนังศีรษะและเส้นผม:
  • หวีผมขณะเปียก: เส้นผมจะอ่อนแอที่สุดเมื่อเปียก การหวีแรงๆ ในช่วงนี้ทำให้ผมขาดและหลุดร่วงง่าย
  • มัดผมแน่นเกินไป: การรวบหางม้าหรือมัดผมทรงตึงแน่นเป็นประจำ ทำให้รากผมถูกดึงรั้งจนเกิดภาวะผมร่วงจากการดึงรั้ง (Traction Alopecia)
  • สวมหมวกหรือวิกผมนานๆ: ทำให้หนังศีรษะอับชื้น ระบายอากาศไม่ดี เสี่ยงต่อการเกิด เชื้อราบนหนังศีรษะ และรูขุมขนอักเสบ
  • สระผมบ่อยเกินไปหรือไม่พอดี: สระบ่อยเกินไปทำให้เส้นผมสูญเสียความชุ่มชื้น ส่วนการสระน้อยเกินไปจะทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการอุดตันและอักเสบบนหนังศีรษะ

ปัจจัยภายในบนหนังศีรษะ

นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว หนังศีรษะและเส้นผมยังได้รับผลกระทบจาก ปัจจัยภายในร่างกาย อย่างมาก ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาเรื้อรังที่หลายคนมองข้าม ทั้งจากเชื้อโรค ภาวะภูมิคุ้มกัน และฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงค่ะ

การติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus และเชื้อรา Malassezia spp.

Staphylococcus aureus (S. aureus)

  • คืออะไร: แบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปบนผิวหนังและในโพรงจมูกของคนปกติ
  • บทบาทบนหนังศีรษะ: โดยทั่วไปจะไม่ก่อโรค แต่หากมีบาดแผลเล็ก ๆ จากการเกา เสียดสี หรือภูมิคุ้มกันอ่อนแอ S. aureus สามารถแทรกซึมเข้าสู่รูขุมขนและทำให้เกิด รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) ได้
  • อาการ: ปรากฏเป็นตุ่มแดง ตุ่มหนอง เจ็บหรือคัน บริเวณรูขุมขน อาจเป็นจุดเดียวหรือกระจายทั่วหนังศีรษะ หากรุนแรงอาจพัฒนาเป็น ฝี (Furuncle) หรือ ฝีฝักบัว (Carbuncle)
  • สภาพแวดล้อมที่เอื้อ: ชื้น อบอุ่น และมีไขมันสูง

Malassezia spp. (ยีสต์ Malassezia)

  • คืออะไร: ยีสต์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น หนังศีรษะ
  • บทบาทบนหนังศีรษะ: โดยปกติ Malassezia จะอยู่ร่วมกับจุลชีพอื่นอย่างสมดุล แต่หากมี ไขมันมากผิดปกติ หรือจุลชีพเสียสมดุล ยีสต์นี้จะเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดการอักเสบ
  • อาการ: สาเหตุหลักของ รังแค และ ผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) มีลักษณะเป็นขุยขาวหรือเหลือง คัน แดง หรือมันๆ และในบางรายอาจทำให้เกิด รูขุมขนอักเสบจากยีสต์ (Malassezia Folliculitis)
  • สภาพแวดล้อมที่เอื้อ: ชอบความชื้น ความมัน และอุณหภูมิที่อุ่น

ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือฮอร์โมนผิดปกติที่ส่งผลต่อรากผม

ทั้ง ระบบภูมิคุ้มกัน และ ระบบฮอร์โมน เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมสมดุลของหนังศีรษะ หากมีความผิดปกติ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อรากผมและเส้นผม

ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • กลไก: เมื่อภูมิคุ้มกันลดลง (จากโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, การใช้ยากดภูมิ, ภาวะเครียดสะสม, การขาดสารอาหาร หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ) ร่างกายจะควบคุมเชื้อโรคตามธรรมชาติได้น้อยลง
  • ผลต่อรากผม: เชื้อ S. aureus และ Malassezia ที่ปกติไม่ก่อโรค อาจเพิ่มจำนวนผิดปกติและก่อให้เกิด การอักเสบของรูขุมขน และ การติดเชื้อที่รากผม ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้ ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้น้อยลง ทำให้ปัญหาหนังศีรษะเรื้อรังหรือรุนแรงขึ้น

ฮอร์โมนผิดปกติที่ส่งผลต่อเส้นผม

  • ฮอร์โมนแอนโดรเจน (เช่น DHT): เป็นฮอร์โมนเพศชายที่พบในทั้งชายและหญิง หากร่างกายมีปริมาณสูง หรือรูขุมขนไวต่อฮอร์โมนนี้ จะทำให้รากผมหดตัว รากผมไม่แข็งแรง ผมบางลง และหยุดเจริญเติบโต ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ ผมร่วงกรรมพันธุ์ (Androgenetic Alopecia)
  • ฮอร์โมนเอสโตรเจน: เมื่อระดับเอสโตรเจนแปรปรวน เช่น ช่วงตั้งครรภ์ หลังคลอด หรือวัยหมดประจำเดือน อาจทำให้เกิด ผมร่วงชั่วคราวหรือ ผมบาง ลงทั่วๆ ไป
  • ฮอร์โมนไทรอยด์: ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ เช่น ภาวะไฮโปไทรอยด์ (ไทรอยด์ต่ำ) หรือไทรอยด์เป็นพิษ ส่งผลให้ผมร่วงทั่วศีรษะ ผมแห้ง และเปราะง่าย

ผลกระทบต่อหนังศีรษะและเส้นผม

  • ต่อมไขมัน: แอนโดรเจนจะกระตุ้นการผลิตไขมันมากเกินไป ทำให้หนังศีรษะมัน ซึ่งส่งผลให้เชื้อราและแบคทีเรียเติบโตได้ดีขึ้น นำไปสู่ปัญหาผิวหนังอักเสบและรูขุมขนอักเสบ
  • วงจรผมผิดปกติ: ความไม่สมดุลของฮอร์โมนทำให้เส้นผมเข้าสู่ “ระยะพัก” เร็วกว่าปกติ เส้นผมจึงร่วงง่าย หรือเกิดเป็นเส้นผมใหม่ที่เล็กลง บางลง และอ่อนแอ

 สรุป: การดูแลปัจจัยภายในร่างกาย เช่น การรักษาภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และการปรับสมดุลฮอร์โมนให้เหมาะสม ร่วมกับการดูแลหนังศีรษะอย่างถูกวิธี คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและรักษาปัญหารูขุมขนอักเสบ ผิวหนังอักเสบ และปัญหาผมร่วงจากราก

ใครมีความเสี่ยงเกิดรูขุมขนอักเสบบนหนังศีรษะ?

แม้ รูขุมขนอักเสบบนหนังศีรษะ (Scalp Folliculitis) จะสามารถเกิดได้กับทุกคน แต่บางกลุ่มมี ความเสี่ยงมากกว่าปกติ จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 6 กลุ่มหลัก ดังนี้ค่ะ:

1. ผู้ที่มีหนังศีรษะมัน หรือมีไขมันส่วนเกิน (Sebum)

  • ต่อมไขมันทำงานมากเกินไป: หนังศีรษะมันโดยธรรมชาติ หรือมีความแปรปรวนของฮอร์โมนกระตุ้นการผลิตน้ำมัน
  • ผลที่เกิดขึ้น: ไขมันส่วนเกินอุดตันรูขุมขนและกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียหรือยีสต์ Malassezia ก่อให้เกิดการอักเสบง่ายขึ้น

2. ผู้ที่มีสุขอนามัยหนังศีรษะไม่ดี

  • สระผมน้อยเกินไป: ทำให้คราบไขมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สะสมอุดตันรูขุมขน
  • เช็ดผมไม่แห้ง: ความชื้นที่ค้างอยู่บนหนังศีรษะเป็นเวลานาน กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อชั้นดี

3. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

  • โรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน, HIV/AIDS, มะเร็ง
  • การใช้ยากดภูมิ: เช่น สเตียรอยด์ หรือยาหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ
  • ภาวะเรื้อรัง: เช่น เครียด พักผ่อนน้อย หรือขาดสารอาหาร ทำให้ร่างกายควบคุมเชื้อโรคบนผิวหนังได้ไม่ดีพอ

4. ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังบนหนังศีรษะ

  • มีแนวโน้มเป็นสิวหรือรูขุมขนอุดตันง่าย
  • เป็นรังแคเรื้อรัง หรือภาวะผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis): ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตไขมันมากผิดปกติและการเพิ่มจำนวนของยีสต์ Malassezia

5. ผู้ที่มีการระคายเคืองหรือบาดเจ็บหนังศีรษะบ่อยครั้ง

  • การโกนศีรษะ หรือถอนผม: สร้างบาดแผลเล็ก ๆ ที่รูขุมขน เป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้า
  • เกาศีรษะแรงเกินไป: ทำให้เกิดรอยถลอกและการอักเสบ
  • การเสียดสี: จากหมวกแน่น ๆ หมวกกันน็อก หรือผ้าโพกศีรษะ ทำให้หนังศีรษะอับชื้น
  • การใช้สารเคมีรุนแรง: เช่น การดัด ยืด ย้อม หรือกัดสีผม ทำให้หนังศีรษะระคายเคือง

6. ผู้ที่เคยมีรูขุมขนอักเสบในบริเวณอื่นของร่างกาย

หากคุณเคยเป็นรูขุมขนอักเสบที่บริเวณอื่น เช่น หน้าอก หลัง หรือขา โอกาสเกิดซ้ำที่หนังศีรษะจะมีสูงขึ้น

 หากคุณเข้าข่ายในกลุ่มเหล่านี้ หรือมีอาการที่คล้ายกับรูขุมขนอักเสบบนหนังศีรษะ แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง และวางแผนการรักษาให้ตรงจุดก่อนอาการจะลุกลามค่ะ

รูขุมขนอักเสบติดต่อผ่านเส้นผมหรือไม่?

ไม่สามารถติดต่อได้ง่ายๆ หรือโดยตรงผ่านเส้นผมเหมือนโรคติดต่อทางผิวหนังอื่น ๆ ที่มีการสัมผัสโดยตรง ค่ะ แต่หากมีการใช้สิ่งของส่วนตัวที่สัมผัสกับหนังศีรษะร่วมกัน เช่น หวี ก็อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุแพร่กระจายไปได้ ดังนั้น การรักษาความสะอาดของอุปกรณ์ดูแลผมและการไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันค่ะ

วิธีรักษารูขุมขนอักเสบหนังศีรษะและเส้นผม

การรักษาแบ่งเป็น 2 รูปแบบหลัก คือ Topical (ยาใช้ภายนอก) และ Systemic (ยารับประทาน) โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามความรุนแรงและสาเหตุ

1. การรักษาแบบ Topical (ยาใช้ภายนอก)

วิธีนี้เหมาะสำหรับอาการที่ไม่รุนแรง หรือใช้ร่วมกับการรักษารูปแบบอื่น เน้นการออกฤทธิ์เฉพาะที่บนหนังศีรษะ:

  • แชมพูยา:

    • กลุ่มยาฆ่าเชื้อรา/ยีสต์: เช่น Ketoconazole (คีโตโคนาโซล) หรือ Selenium Sulfide (ซีลีเนียม ซัลไฟด์) ใช้สำหรับกรณีที่รูขุมขนอักเสบเกิดจากยีสต์ Malassezia หรือมีภาวะผิวหนังอักเสบเซบเดิร์มร่วมด้วย ช่วยลดจำนวนยีสต์และลดการอักเสบ

    • วิธีใช้: มักจะให้ใช้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์ และควรทิ้งแชมพูไว้บนหนังศีรษะ 3-5 นาทีก่อนล้างออก

    • ยาทาหนังศีรษะ:

      • ยาปฏิชีวนะชนิดทา: เช่น Clindamycin (คลินดามัยซิน) โลชั่น โลชั่น/เจล ใช้ทาบริเวณตุ่มอักเสบ/ตุ่มหนอง เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง

      • ยาสเตียรอยด์ชนิดทา: เช่น Clobetasone (โคลเบทาโซน) โลชั่น/ครีม ใช้เพื่อลดอาการอักเสบ แดง และคันอย่างรวดเร็ว ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และไม่ควรใช้นานเกินไป เพราะอาจมีผลข้างเคียงเช่น ผิวบาง หรือผมบางลงได้

      • ยาต้านเชื้อราชนิดทา: เช่น Ketoconazole (ครีม/เจล) หรือ Clotrimazole (โคลไตรมาโซล) สำหรับรูขุมขนอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา

2. การรักษาแบบ Systemic (ยารับประทาน)

วิธีนี้เหมาะสำหรับกรณีที่รูขุมขนอักเสบมีอาการรุนแรง เป็นบริเวณกว้าง ไม่ตอบสนองต่อยาทา หรือมีการติดเชื้อลึกถึงรากผม:

  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: เช่น Doxycycline (ดอกซีไซคลิน) หรือ Clindamycin (คลินดามัยซิน) ใช้เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการอักเสบ สิ่งสำคัญคือต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา

  • ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน: เช่น Itraconazole (ไอทราโคนาโซล) หรือ Fluconazole (ฟลูโคนาโซล) ใช้ในกรณีที่รูขุมขนอักเสบเกิดจากเชื้อราหรือยีสต์รุนแรง

  • Isotretinoin (ไอโซเตรติโนอิน) ชนิดรับประทาน: เป็นยาในกลุ่มวิตามินเอ (Retinoids) ที่ใช้รักษาสิวรุนแรง สามารถใช้ในรูขุมขนอักเสบเรื้อรังบางชนิด โดยจะช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันและการอักเสบ ยานี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมากและมีข้อจำกัดในการใช้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังอย่างใกล้ชิด

กรณีรุนแรง – รักษารูขุมขนอักเสบที่หนังศีรษะด้วยเทคโนโลยี AcGen จาก The One Clinic

สำหรับผู้ที่มีอาการรูขุมขนอักเสบที่หนังศีรษะ (Scalp Folliculitis) ในระดับเรื้อรังหรือรุนแรง ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว
ทาง The One Clinic มีทางเลือกใหม่ในการรักษาที่ทันสมัยและตรงจุด ด้วยเทคโนโลยี AcGen RF Microneedle

เทคโนโลยี AcGen คืออะไร?

AcGen เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF) ความถี่เฉพาะส่งผ่าน หัวเข็มขนาดเล็กระดับไมครอน ไปยังต่อมไขมันใต้ผิวหนังโดยตรง ช่วยควบคุมความร้อนและพลังงานอย่างแม่นยำในระดับที่ปลอดภัย เพื่อปรับสมดุลการทำงานของผิวและรากผมจาก “ภายใน”

กลไกการทำงานของ AcGen ในการรักษารูขุมขนอักเสบที่ศีรษะ

การประยุกต์ใช้ AcGen ในการรักษา รูขุมขนอักเสบที่หนังศีรษะ ได้ผลดีจากการทำงานหลายด้าน ดังนี้:

  •  ลดการทำงานของต่อมไขมันโดยตรง
    คลื่น RF จะทำให้เซลล์ในต่อมไขมันฝ่อตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ ส่งผลให้การผลิตน้ำมัน (sebum) บริเวณนั้นลดลงอย่างถาวร
  •  ลดการอุดตันของรูขุมขน
    เมื่อความมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วลดลง โอกาสการอุดตันภายในรูขุมขนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการอักเสบและติดเชื้อก็ลดลงไปด้วย
  •  ลดการอักเสบและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
    พลังงาน RF ยังช่วยลดการอักเสบในเนื้อเยื่อรอบๆ รากผม และเมื่อการทำงานของต่อมไขมันลดลงอย่างถาวร บริเวณที่เคยมีปัญหาจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้น้อยลงมาก

ผลลัพธ์ที่เห็นได้จากการรักษาด้วย AcGen

ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา รูขุมขนอักเสบเรื้อรังที่ศีรษะ ด้วย AcGen จำนวน 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า:

  • อาการอักเสบและตุ่มหนองลดลงอย่างชัดเจน
  • หนังศีรษะสงบลง คันน้อยลง ไม่เจ็บหรือระคายเคือง
  • เส้นผมสามารถงอกกลับมาใหม่ในบริเวณที่เคยอักเสบได้เป็นปกติ

AcGen เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่เป็น รูขุมขนอักเสบเรื้อรัง
  • ผู้ที่มี หนังศีรษะมันมาก
  • ผู้ที่ ไม่ตอบสนองต่อยาทา/ยากินเพียงอย่างเดียว
  • ผู้ที่ต้องการผลการรักษาที่ ยาวนานและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ

The One Clinic จะทำการประเมินสภาพหนังศีรษะอย่างละเอียดก่อน เพื่อออกแบบระดับพลังงานของ AcGen ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยมักใช้ร่วมกับการทายาหรือยารับประทาน เพื่อให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้น และลดการกลับมาเป็นซ้ำในระยะยาว

รูขุมขนอักเสบ – ผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนที่ควรรู้

รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) แม้จะเริ่มจากตุ่มเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่หากละเลยหรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าที่คิดได้ค่ะ

1. การติดเชื้อที่ลุกลามรุนแรง

  • ฝี (Furuncles หรือ Boils):
    เมื่อตุ่มอักเสบขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นก้อนหนองใต้ผิวหนัง มีลักษณะบวม แดง ปวด และเจ็บมาก อาจต้องเจาะระบายหนองออก
  • ฝีฝักบัว (Carbuncles):
    เป็นกลุ่มของฝีหลายหัวที่เชื่อมต่อกันใต้ผิวหนัง พบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือเป็นซ้ำบ่อยๆ บริเวณที่เป็นจะบวมแดง ปวดมาก และอาจมีไข้ร่วมด้วย

2. ผมร่วงจากการอักเสบ

  • ผมร่วงชั่วคราว:
    เกิดจากการอักเสบเฉพาะที่ รากผมยังไม่เสียหาย เมื่อรักษาหายดี เส้นผมจะสามารถงอกกลับมาได้ตามปกติ
  • ผมร่วงถาวร (Scarring Alopecia):
    ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุด หากการอักเสบทำลายโครงสร้างของรูขุมขนอย่างถาวร ผมจะไม่สามารถงอกกลับมาได้อีก ส่งผลให้เกิดศีรษะล้านเป็นหย่อมๆ อย่างถาวร

3. ผลกระทบอื่นๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

  • การติดเชื้อซ้ำซ้อน หรือกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง:
    หากยังมีปัจจัยกระตุ้น เช่น หนังศีรษะมัน อุดตัน หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาการอักเสบอาจกลับมาเป็นซ้ำได้เรื่อยๆ และรักษายากขึ้นในระยะยาว
  • ผลกระทบทางจิตใจและสังคม:
    อาการที่เห็นได้ชัดบนหนังศีรษะ เช่น ตุ่มหนอง, แผล, หรือผมร่วงเฉพาะจุด อาจส่งผลต่อความมั่นใจ ความเครียด และทำให้หลีกเลี่ยงการเข้าสังคมได้

ดังนั้น การรักษารูขุมขนอักเสบให้ตรงจุดตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้
หากคุณมีอาการน่าสงสัย หรือเริ่มรู้สึกว่าปัญหานี้ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน อย่ารอช้า ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางทันทีค่ะ

การดูแลตนเองและป้องกันรูขุมขนอักเสบ

รูขุมขนอักเสบ ป้องกัน

การป้องกัน รูขุมขนอักเสบ เริ่มต้นได้จากการดูแลสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผมในชีวิตประจำวันอย่างถูกวิธี ร่วมกับการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมและปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบค่ะ

1. ดูแลสุขอนามัยของหนังศีรษะและเส้นผม

  • สระผมอย่างสม่ำเสมอ:
    ใช้แชมพูที่อ่อนโยนต่อหนังศีรษะ และล้างออกให้หมดจด เพื่อลดการสะสมของไขมัน, เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม
  • เช็ดผมให้แห้งสนิทหลังสระ:
    ไม่ควรปล่อยให้ศีรษะเปียกชื้นนานๆ โดยเฉพาะก่อนนอนหรือก่อนรวบผม เพราะความชื้นเป็นแหล่งเพาะเชื้อชั้นดี
  • รักษาความสะอาดของอุปกรณ์ดูแลผม:
    เช่น หวี, แปรง, ผ้าขนหนู และปลอกหมอน ควรล้างและเปลี่ยนบ่อยๆ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา

2. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นและพฤติกรรมเสี่ยง

  • ไม่เกาหรือแกะตุ่มบนหนังศีรษะ:
    เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอักเสบลุกลาม
  • ลดการใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม:
    โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เหนียว เหนอะหนะ หรืออุดตันรูขุมขนได้ง่าย เช่น เจล สเปรย์ มูส
  • หลีกเลี่ยงความร้อนและสารเคมีรุนแรง:
    เช่น การไดร์ผมลมร้อนจัด, ย้อม, ดัด, หรือยืดผมบ่อยๆ เพราะอาจทำให้หนังศีรษะระคายเคือง
  • ระบายอากาศให้ศีรษะ:
    หลีกเลี่ยงการใส่หมวกหรือผ้าโพกศีรษะที่แน่นหรือสวมเป็นเวลานาน เพื่อไม่ให้เกิดการอับชื้น

3. ดูแลสุขภาพโดยรวมจากภายใน

  • จัดการความเครียด:
    ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์:
    โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และดื่มน้ำมากเพียงพอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ:
    เพราะการนอนหลับมีบทบาทในการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ

4. สังเกตอาการและปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีสัญญาณผิดปกติ

  • สังเกตอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้น:
    เช่น ตุ่มแดง คัน เจ็บ หรือมีหนอง หากพบควรเริ่มดูแลทันที
  • พบแพทย์เมื่ออาการไม่ดีขึ้น:
    หากตุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นฝี ผมเริ่มร่วงเฉพาะจุด หรือมีการอักเสบรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

รูขุมขนอักเสบ เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์?

แม้ว่า รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) ส่วนใหญ่สามารถหายเองได้หากดูแลอย่างเหมาะสม แต่ในบางกรณี การปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ฝี ผมร่วงถาวร หรือการติดเชื้อรุนแรงได้ ดังนั้น หากคุณมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังทันทีค่ะ

1. อาการแย่ลงอย่างรวดเร็ว

  • จำนวน ตุ่มแดง ตุ่มหนองเพิ่มมากขึ้น ภายในเวลาอันสั้น
  • ตุ่มมีขนาด ใหญ่ขึ้น ปวดหรือคันรุนแรง จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

2. มีสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง

  • มีไข้ หนาวสั่น หรืออ่อนเพลียมากผิดปกติ
  • บริเวณที่อักเสบมีอาการ บวม แดง ร้อน หรือเจ็บลุกลาม
  • เริ่มมีลักษณะเป็น ฝีขนาดใหญ่ หรือฝีฝักบัว ที่ลึกและเชื่อมต่อกันหลายหัว

3. ผมร่วงผิดปกติในบริเวณที่อักเสบ

  • ผมร่วงเป็น หย่อมๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะตรงตำแหน่งที่เป็นตุ่มอักเสบ
  • เส้นผมเริ่ม บางลงรวดเร็ว ในพื้นที่เดียวกัน และไม่งอกใหม่

4. ไม่ตอบสนองต่อการดูแลเบื้องต้น

  • แม้จะ สระผมสะอาด ใช้แชมพูยา หรือหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
  • กลับมาเป็น ซ้ำบ่อยๆ หรือเป็นเรื้อรัง

5. มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย

  • รู้สึก อ่อนเพลียมาก
  • มี ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโต หรือเจ็บ

สงสัยว่ามี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคผิวหนังอื่นร่วมด้วย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรูขุมขนอักเสบบนหนังศีรษะ

Q: รูขุมขนอักเสบต่างจากผมร่วงหรือสิวหนังศีรษะอย่างไร?

 A: รูขุมขนอักเสบมักเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนอง ที่มีเส้นผมอยู่ตรงกลาง พร้อมอาการคัน เจ็บ เกิดจากการติดเชื้อหรืออุดตันรูขุมขน
สิวหนังศีรษะมักเกิดจาก การอุดตันของไขมัน ไม่จำเป็นต้องมีเส้นผมตรงกลางเสมอ และไม่มีการติดเชื้อเสมอไป

Q: การรักษาแบบไหนช่วยฟื้นฟูเส้นผมได้ดีที่สุด?

 A: การรักษาที่ดีที่สุดคือการ จัดการต้นเหตุของการอักเสบอย่างรวดเร็วและตรงจุด ร่วมกับการบำรุงรูขุมขน หากควบคุมการอักเสบได้เร็ว รูขุมขนจะเสียหายน้อย โอกาสผมงอกใหม่กลับมาสมบูรณ์ก็จะสูงขึ้นค่ะ

Q: แชมพูประเภทใดเหมาะกับ Folliculitis บนหนังศีรษะ? 

A: การเลือกแชมพูสำหรับรูขุมขนอักเสบ ควรเน้นที่การ ควบคุมเชื้อโรค ลดการอักเสบ และลดความมัน/การอุดตัน ค่ะ แชมพูที่แนะนำคือแชมพูที่มีส่วนผสมยาต้านเชื้อรา/ยีสต์: เช่น Ketoconazole (คีโตโคนาโซล), Selenium Sulfide (ซีลีเนียม ซัลไฟด์), Coal Tar (โคทาร์) 

Q: ต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหนถึงจะดีขึ้น?

 A: อาการไม่รุนแรง: อาจเริ่มดีขึ้นใน 1–2 สัปดาห์ หากอาการปานกลางถึงรุนแรง: อาจใช้เวลา 2–4 สัปดาห์หรือมากกว่า ขึ้นกับสาเหตุและการตอบสนองต่อการรักษา

บทความที่คล้ายกัน

สิวเครียด

สิวเครียดทำไงดี? ทำงานหนักพักผ่อนน้อย รู้สาเหตุ วิธีรักษา เคลียร์ผิวพังเผยผิวใส

เครียดงาน พักผ่อนน้อย สิวเครียดเกิดจากฮอร์โมนแปรปรวนเพราะความกดดันและพักผ่อนน้อย เจาะลึกสาเหตุ อาการ วิธีรักษา ให้ผิวกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

รังแค

รังแคเยอะคันหัว ทำยังไงดี? รู้สาเหตุ การป้องกันและวิธีรักษาที่เห็นผล

คันหัวมาก รังแคทำลายความมั่นใจ รู้สาเหตุ การป้องกัน และวิธีการรักษารังแคตรงสาเหตุ เพื่อคืนความมั่นใจ และหนังศีรษะกลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง