เชื้อราบนหนังศีรษะเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวและไม่อยากพบเจอ เพราะไม่ใช่แค่อาการคันจนรู้สึกรำคาญใจเท่านั้น แต่เชื้อราบนหนังศีรษะยังส่งผลต่อปัญหาผิวหนังและเส้นผมตามมาอีกเพียบ วันนี้หมอหนึ่งจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจอาการเชื้อราบนหนังศีรษะและสาเหตุที่เราควรหาทางป้องกัน
รู้ให้ชัด! ประเภทของเชื้อราบนหนังศีรษะ
เชื้อราบนหนังศีรษะ (Tinea Capitis) ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes ซึ่งมีหลายชนิดที่สามารถก่อให้เกิดโรคนี้ได้ แต่ละชนิดมีลักษณะและความรุนแรงของโรคที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยเชื้อราที่พบบ่อย ได้แก่:
- Trichophyton tonsurans: เป็นเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดในการติดเชื้อราบนหนังศีรษะในคน โดยเฉพาะในเด็ก มักทำให้เกิดผื่นแดงเป็นวงกลม มีสะเก็ด และผมร่วงเป็นหย่อม ๆ
2. Microsporum canis: เป็นเชื้อที่มักติดต่อมาจากสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว มักทำให้เกิดผื่นแดงอักเสบ มีสะเก็ดหนา และมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ
การวินิจฉัยว่าเชื้อราชนิดใดเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ จำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ โดยแพทย์อาจเก็บตัวอย่างจากหนังศีรษะหรือเส้นผมไปตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันชนิดของเชื้อราและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
อาการของเชื้อราบนหนังศีรษะ เป็นอย่างไร?
อาการที่พบบ่อย
- ผื่นแดง: มักมีลักษณะเป็นผื่นแดงวงกลม ขอบเขตชัดเจน บนหนังศีรษะ อาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้
- อาการคัน: บริเวณที่เป็นผื่นมักมีอาการคันร่วมด้วย
- ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ: เส้นผมในบริเวณที่ติดเชื้อจะหลุดร่วง ทำให้เกิดเป็นหย่อม ๆ บนหนังศีรษะ
- หนังศีรษะเป็นขุย: หนังศีรษะอาจมีสะเก็ดหรือขุยสีขาวหรือเหลือง ดูคล้ายรังแค
ข้อสังเกต
- อาการของเชื้อราบนหนังศีรษะอาจคล้ายกับโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคผิวหนังอักเสบ seborrheic dermatitis ความแตกต่างคือ อาการเชื้อราจะมีลักษณะของผื่นที่เป็นวงกลม แต่ โรคผิวหนังอักเสบจะมีอาการของผื่นแบบทั่ว ๆ ไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน
- การรักษาเชื้อราบนหนังศีรษะที่ล่าช้าอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือแผลเป็นบนหนังศีรษะ รวมถึงอาการผมร่วงได้
หากคุณมีอาการที่สงสัยว่าเป็นเชื้อราบนหนังศีรษะ อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะอาการเชื้อราบนหนังศีรษะสามารถทำให้เกิดรอยแผลเป็น และพังผืดที่หนังศีรษะ ส่งผลให้มีอาการผมร่วงชนิดถาวรได้
เชื้อราบนหนังศีรษะ มักเกิดได้ง่ายกับใคร?
เชื้อราบนหนังศีรษะ (Tinea Capitis) สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป ซึ่ง The One Clinic รวบรวมข้อมูลมาฝากกันดังนี้
- เด็ก: เด็กเล็กเป็นกลุ่มที่พบการติดเชื้อราบนหนังศีรษะได้บ่อยที่สุด หรือที่เรียกว่า ‘ชันนะตุ’ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ และมักมีพฤติกรรมใกล้ชิดกับเพื่อน ๆ หรือสัตว์เลี้ยง ทำให้เชื้อราสามารถแพร่กระจายได้ง่าย
- ผู้ที่มีสุขอนามัยไม่ดี: คนที่ไม่สระผมเป็นประจำ หรือสระผมไม่สะอาด ทำให้หนังศีรษะเกิดความอับชื้น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ: ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อราบนหนังศีรษะ
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด: การอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด เช่น โรงเรียน ค่าย หรือบ้านที่มีคนอยู่รวมกันมาก ๆ ก็จะเพิ่มโอกาสในการติดต่อเชื้อราจากผู้อื่น
- ผู้ที่สัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อ: สุนัขและแมวเป็นพาหะของเชื้อราได้ การสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้ออาจทำให้เชื้อราแพร่กระจายสู่คนได้
- ผู้ที่มีโรคผิวหนังอื่น ๆ: ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคผิวหนังอักเสบ (Seborrheic Dermatitis) อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ
เป็นเชื้อราบนหนังศีรษะนานแค่ไหน จึงควรไปพบแพทย์
ถ้าคุณมีอาการเชื้อราบนหนังศีรษะ คุณควรไปพบแพทย์ทันที เพราะยิ่งรู้ไว รักษาหาย ก็หายได้เร็วขึ้น และป้องกันอาการแทรกซ้อน ซึ่งคุณสามารถสังเกตอาการด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ก่อนตัดสินใจไปพบแพทย์ ดังนี้
- มีผื่นแดงหรือสะเก็ดบนหนังศีรษะ: โดยเฉพาะผื่นที่มีลักษณะเป็นวงกลม ขอบเขตชัดเจน และมีอาการคันร่วมด้วย
- ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ: หากสังเกตเห็นว่าผมร่วงเป็นหย่อม ๆ โดยไม่มีสาเหตุอื่นที่ชัดเจน อาจเป็นสัญญาณของเชื้อราบนหนังศีรษะ
- มีตุ่มหนองหรือแผลอักเสบบนหนังศีรษะ: อาการเหล่านี้บ่งบอกถึงการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น และควรได้รับการรักษาโดยเร็ว
- มีอาการคันศีรษะรุนแรง: หากมีอาการคันศีรษะที่ไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยการสระผม หรือใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีรษะทั่วไป
การวินิจฉัยเชื้อราบนหนังศีรษะจากแพทย์
การวินิจฉัยเชื้อราบนหนังศีรษะโดยแพทย์ผิวหนัง จะประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อการตรวจโรคที่แม่นยำและหาสาเหตุที่แน่ชัด เนื่องจากผลการวินิจฉัยจะส่งผลต่อการออกแบบโปรแกรมรักษาและผลลัพธ์ของการรักษา
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย
- แพทย์จะสอบถามประวัติอาการ เช่น อาการคัน ผื่น ผมร่วง และระยะเวลาที่มีอาการ
- แพทย์จะตรวจดูหนังศีรษะและเส้นผมอย่างละเอียด เพื่อสังเกตอาการต่าง ๆ เช่น ผื่นแดง สะเก็ด ตุ่มหนอง หรือต่อมน้ำเหลืองโต
- การตรวจเพิ่มเติม
- การขูดผิวหนังหรือถอนเส้นผม: แพทย์อาจขูดผิวหนังบริเวณที่เป็นผื่น หรือถอนเส้นผมบางส่วนเพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม
- การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์: ตัวอย่างที่ได้จากการขูดผิวหนังหรือถอนเส้นผมจะถูกนำไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อหาเชื้อราและลักษณะของเส้นใย (hyphae) และสปอร์ (spores) ซึ่งจะช่วยยืนยันการวินิจฉัยและระบุชนิดของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของอาการ
- การเพาะเชื้อรา: แพทย์อาจจำเป็นต้องเพาะเชื้อราจากตัวอย่างที่เก็บได้ในบางกรณี เพื่อยืนยันชนิดของเชื้อราและทดสอบความไวต่อยาต้านเชื้อรา
- การวินิจฉัยแยกโรค
- เนื่องจากอาการของเชื้อราบนหนังศีรษะอาจคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ Seborrheic dermatitis หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนัง แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการวินิจฉัยแยกโรคเพื่อให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ
วิธีการรักษาเชื้อราบนหนังศีรษะ
การรักษาเชื้อราบนหนังศีรษะมีหลายวิธี โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดตามชนิดของเชื้อรา ความรุนแรงของอาการ และอายุของผู้ป่วย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยต่อคนไข้ ซึ่งสามารถแยกกรณีในการรักษาได้ดังนี้
วิธีการรักษาในกรณีไม่รุนแรง
- ทานยารับประทานต้านเชื้อรา ได้แก่ Griseofulvin, Terbinafine, Itraconazole, และ Fluconazole
- แชมพูยาต้านเชื้อรา เช่น Ketoconazole
- ยาทาต้านเชื้อรา เช่น Ketoconazole หรือ Terbinafine
วิธีการรักษาในกรณีที่รุนแรง
- จริง ๆ วิธีการรักษาในกรณีที่รุนแรงก็คล้าย ๆ กับกรณีไม่รุนแรง แต่สำหรับผู้ป่วยมีอาการอักเสบรุนแรง เช่น มีตุ่มหนอง มีอาการแพ้รุนแรง หรือผมร่วงมาก ๆ แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์ (corticosteroid) เพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการ แต่การฉีดยาสเตียรอยด์ไม่ได้ฆ่าเชื้อราโดยตรง จึงต้องใช้ควบคู่กับยาต้านเชื้อรา
คำถามคาใจ! เชื้อราบนหนังศีรษะ รักษาเองได้หรือไม่?
แพทย์ไม่แนะนำให้รักษาเชื้อราบนหนังศีรษะด้วยตนเอง แม้ว่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาด้วยสมุนไพรหรือวิธีธรรมชาติอื่น ๆ ให้สืบค้นมากมาย เพราะการรักษาที่ได้ผลและปลอดภัยที่สุดคือการไปพบแพทย์ผิวหนังและวินิจฉัยหาต้นตอของปัญหา
ทำไมคุณจึงไม่ควรรักษาเชื้อราบนหนังศีรษะด้วยตัวเอง?
- การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง: อาการของเชื้อราบนหนังศีรษะอาจคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือ โรคผิวหนังอักเสบ Seborrheic dermatitis หากวินิจฉัยผิดพลาดและรักษาไม่ถูกวิธี อาจทำให้รักษาหายช้า อาการแย่ลง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
- การเลือกใช้ยาที่ไม่เหมาะสม: เชื้อราบนหนังศีรษะมีหลายชนิด แต่ละชนิดต้องใช้ยาต้านเชื้อราที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ยาเองโดยไม่มีความรู้ อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล หรือเกิดผลข้างเคียงจากยาได้
- การติดเชื้อลุกลาม: หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เชื้อราอาจลุกลามไปยังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย หรือแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้
การป้องกันเชื้อราบนหนังศีรษะด้วยตัวเอง
สำหรับใครที่กังวลว่าจะมีปัญหาเชื้อราบนหนังศีรษะ การป้องกันเชื้อราบนหนังศีรษะสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขอนามัยอย่างเหมาะสม ซึ่งคุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและใส่ใจดูแลตัวเอง ดังนี้
สุขอนามัยส่วนบุคคล:
- สระผมเป็นประจำ: สระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยนอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือตามสภาพหนังศีรษะ
- เช็ดผมให้แห้งสนิท: หลังสระผมควรเช็ดผมให้แห้งสนิท โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะ เพื่อป้องกันความอับชื้น ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น: หลีกเลี่ยงการใช้หวี แปรงผม หมวก ผ้าเช็ดตัว หรือปลอกหมอนร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการติดต่อจากเชื้อรา
- ทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวเป็นประจำ: หมั่นทำความสะอาดหวี แปรงผม และหมวกด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพื่อให้ของใช้สะอาดและปลอดเชื้อ
- สวมหมวกหรือผ้าคลุมศีรษะที่ระบายอากาศได้ดี: เลือกใช้หมวกหรือผ้าคลุมศีรษะที่ทำจากวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี ป้องกันการอับชื้น เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน
การดูแลสัตว์เลี้ยง:
- ตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ: หากพบว่าสัตว์เลี้ยงมีอาการผิดปกติบนผิวหนัง ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที เพื่อป้องกันการติดต่อเชื้อราจากสัตว์เลี้ยงสู่คน
- รักษาความสะอาดของสัตว์เลี้ยง: อาบน้ำและแปรงขนสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นพาหะของเชื้อรา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อ: หากสัตว์เลี้ยงได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อรา ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดจนกว่าจะได้รับการรักษาจนหายดี
FAQ คำถามที่พบบ่อย
Q : เชื้อราบนหนังศีรษะ ผมร่วงเป็นหย่อมหายได้หรือไม่?
A: เชื้อราบนหนังศีรษะที่ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ สามารถรักษาให้หายได้ และผมมักจะงอกกลับมาเป็นปกติหลังจากได้รับการรักษาที่เหมาะสม หลังจากที่เชื้อราถูกกำจัดออกไป เส้นผมมักจะงอกกลับมาเป็นปกติภายใน 6-12 เดือน และไม่มีผลต่อสุขภาพของเส้นผมในระยะยาว แต่ถ้าปล่อยไว้จนมีการอักเสบรุนแรงหรือมีแผลเป็นบนหนังศีรษะ อาจทำให้ผมร่วงแบบถาวรได้ หากไม่แน่ใจว่าอาการรุนแรงหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด
Q : เชื้อราบนหนังศีรษะสามารถติดต่อกันได้หรือไม่?
A : เชื้อราสามารถติดต่อกันได้ง่าย โดยเฉพาะวัยเด็กหรือบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
Q : รักษาเชื้อราบนศีรษะ นานไหม?
A : ระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อราและความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 4-8 สัปดาห์ก็จะดีขึ้น แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น
Q : รักษาเชื้อราบนศีรษะ ราคาเท่าไหร่?
A : สำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาจะเริ่มต้นที่หลักพันบาทหรือหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับชนิดของยาและความรุนแรงของอาการ เชื้อราบางชนิดอาจต้องใช้ยาที่มีราคาแพงกว่า หรือต้องใช้เวลารักษานานกว่า
Q : เชื้อราบนหนังศีรษะ รักษาเองได้ไหม?
A : หมอไม่แนะนำให้รักษาเชื้อราบนหนังศีรษะด้วยตนเองนะคะ เพราะเชื้อราบนหนังศีรษะมีหลายชนิด แต่ละชนิดต้องใช้ยาต้านเชื้อราที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ยาเองโดยไม่มีความรู้ อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล หรือเกิดผลข้างเคียงจากยาได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เชื้อราอาจลุกลามจนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะและผมร่วงถาวรได้ค่ะ
รักษาเชื้อราบนหนังศีรษะ ที่ The One Clinic
The One Clinic คลินิกที่มีประสบการณ์การรักษาโรคผิวหนังโดยแพทย์เฉพาะทาง สำหรับปัญหาเชื้อราบนหนังศีรษะ หมอหนึ่งจะวินิจฉัยและออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี หากใครอยากปรึกษาแพทย์และสอบถามรายละเอียดโปรแกรมรักษา สามารถโทร. 093-583-0921 หรือ แอดไลน์ @theoneclinic ได้เลยค่ะ