“ฝ้า” หรือ Melasma เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทำงานและวัยกลางคน ลักษณะคือปื้นสีน้ำตาลเข้มหรือเทา ๆ ที่ปรากฏบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก หรือกระจายเป็นวงกว้าง แม้ไม่ใช่โรคอันตราย แต่ฝ้าส่งผลต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพอย่างมาก
สาเหตุหลักของฝ้าเกิดจากการที่ เมลานิน (เม็ดสีผิว) ถูกกระตุ้นให้ผลิตมากผิดปกติ โดยมีตัวกระตุ้นสำคัญอย่างแสงแดด ความร้อน ฮอร์โมน และพันธุกรรม การรักษาฝ้าไม่สามารถ “หายขาด” ได้ในทันที แต่สามารถควบคุมให้จางลงและคงที่ได้นาน หากมีวินัยทั้งในการป้องกันแดด ใช้ยาทาหรือทรีตเมนต์ที่เหมาะสม และดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง
สารบัญ
ชนิดของฝ้าที่หน้า

ก่อนจะเริ่มรักษา จำเป็นต้องเข้าใจว่าฝ้าที่เกิดขึ้นเป็นชนิดใด เพราะแต่ละชนิดตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน
- ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma):
ฝ้าชนิดนี้จะมีสีออกน้ำตาลเข้มถึงน้ำตาลชัดเจน ขอบปื้นค่อนข้างชัดเจน มักอยู่ในชั้นหนังกำพร้า ทำให้ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าชนิดอื่น การใช้ยาทา เช่น Hydroquinone หรือกรดผลไม้เข้มข้นต่ำ สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้อย่างชัดเจนในไม่กี่เดือน - ฝ้าลึก (Dermal Melasma):
มีลักษณะเป็นสีเทาหรือเทาน้ำตาล กระจายแบบขอบไม่ชัดเจน เม็ดสีสะสมลึกลงไปในชั้นหนังแท้ ทำให้รักษายากและต้องใช้เวลานาน ผลการรักษามักไม่ชัดเจนในระยะสั้น และต้องอาศัยการดูแลอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น - ฝ้าผสม (Mixed Type):
พบได้บ่อยที่สุดในคนเอเชีย มักเห็นเป็นทั้งปื้นสีน้ำตาลเข้ม (ฝ้าตื้น) และปื้นสีเทา (ฝ้าลึก) อยู่ในใบหน้าเดียวกัน การรักษาต้องอาศัยการผสมผสานหลายวิธีร่วมกัน เช่น ยาทาเฉพาะที่ ร่วมกับเลเซอร์พลังงานต่ำหรือ Microneedling เพื่อคุมฝ้าให้คงที่ในระยะยาว
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้หน้าเป็นฝ้าเข้มขึ้น

ฝ้าไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลรวมของหลายอย่างร่วมกัน หากยังคงมีตัวกระตุ้น ฝ้าจะกลับมาเข้มขึ้นแม้จะรักษาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
- แสงแดดและแสงที่ตามองเห็น รวมถึงความร้อน:
รังสี UVA สามารถทะลุกระจกและเข้าลึกถึงชั้นหนังแท้ได้ ทำให้เมลานินถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในวันที่ไม่ออกแดดจ้า ขณะเดียวกันแสงฟ้าจากหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ก็มีผลกระตุ้นเม็ดสีในผิวเอเชียโดยตรง รวมถึงความร้อนจากเตาไฟหรือการอบผมก็มีส่วนทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้เช่นกัน - ฮอร์โมน:
ช่วงตั้งครรภ์ ผู้หญิงมักเกิด “mask of pregnancy” ซึ่งเป็นฝ้าที่ขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ยาคุมกำเนิดบางชนิดและการใช้ฮอร์โมนทดแทนในวัยทองก็เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ ฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมนมักต้องใช้เวลาควบคุมและอาจกลับมาเข้มซ้ำได้ง่าย - การอักเสบของผิว:
การใช้สครับแรงเกินไป การทากรดผลไม้เข้มข้นโดยไม่มีการเว้นระยะ หรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและแอลกอฮอล์สูง ล้วนทำให้ผิวอักเสบและเสี่ยงเกิดรอยดำหลังอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation: PIH) ซึ่งเป็นตัวเสริมให้ฝ้าเข้มขึ้นกว่าเดิม - พันธุกรรมและลักษณะผิวของคนเอเชีย:
หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้า ก็มีโอกาสสูงที่คุณจะเป็นเช่นกัน และในคนเอเชียมีความไวต่อการเกิดรอยดำหลังอักเสบ ทำให้การรักษาฝ้าต้องทำอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไป
วิธีรักษาหน้าเป็นฝ้า
การรักษาฝ้าที่ได้ผลต้องคิดเป็นระบบ แบ่งเป็นหลายระดับ เพื่อคุมทั้งปัจจัยกระตุ้นและการสร้างเม็ดสี
1. พื้นฐานที่ทุกคนต้องทำ
สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันแสงแดด เพราะต่อให้ใช้ยาราคาแพงแค่ไหน หากไม่กันแดด ฝ้าจะกลับมาเข้มซ้ำอย่างรวดเร็ว
- ใช้กันแดด SPF50+ PA++++ ทุกวัน แม้ไม่ได้ออกแดดจ้า
- ทาปริมาณเพียงพอ ประมาณ 2 ข้อนิ้วมือสำหรับทั่วหน้าและคอ
- ทาซ้ำทุก 2–3 ชั่วโมงเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง
- เลือกกันแดดที่มี Iron oxides สำหรับคนทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรืออยู่ไฟสตูดิโอ
2. ยาทาและสารออกฤทธิ์
หลังจากป้องกันแดดแล้ว การใช้ยาทาหรือเวชสำอางเป็นตัวช่วยหลัก
- Hydroquinone 2–4%: ถือเป็นมาตรฐานทองคำสำหรับการรักษาฝ้า แต่ควรใช้เป็นคอร์สสั้น ๆ 8–12 สัปดาห์ ภายใต้การดูแลของแพทย์
- Triple Combination: (Hydroquinone + Tretinoin + สเตียรอยด์อ่อน) ได้ผลดีในช่วงเริ่มต้น แต่ต้องควบคุมอย่างใกล้ชิด
- สารเสริมสำหรับระยะคงสภาพ: เช่น Azelaic Acid, Tranexamic Acid, Niacinamide, Vitamin C, Arbutin, Kojic acid ใช้ต่อเนื่องระยะยาวเพื่อคุมไม่ให้ฝ้ากำเริบ
3. ทรีตเมนต์ในคลินิก
หากยาทาอย่างเดียวไม่เพียงพอ แพทย์อาจเสริมด้วยวิธีทางการแพทย์
- Chemical Peel อ่อน: ใช้กรดผลไม้หรือ Jessner’s peel เพื่อผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ฝ้าตื้นจางเร็วขึ้น
- เลเซอร์พลังงานต่ำ: เช่น Q-switched, Pico หรือ Fractional non-ablative ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อลดความเสี่ยงรอยดำใหม่
- Microneedling + TXA/Vitamin: วิธีนี้ช่วยให้ตัวยาซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น และช่วยฟื้นฟูเกราะผิวไปพร้อมกัน
รูทีนตัวอย่างสำหรับการดูแลหน้าเป็นฝ้า
การจัดรูทีนประจำวันช่วยลดโอกาสผิวอักเสบและทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ตอนเช้า:
ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์อ่อนโยน → วิตามิน C หรือ Niacinamide → มอยส์เจอไรเซอร์ → กันแดด (เติมแป้งกันแดดหรือทาซ้ำระหว่างวันหากออกแดด) - ตอนเย็น:
ล้างเครื่องสำอางด้วยคลีนซิ่ง → คลีนเซอร์อ่อนโยน → ทา Azelaic Acid หรือ Tranexamic Acid → ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยฟื้นเกราะผิว - ตามคอร์สแพทย์:
ใช้ Hydroquinone หรือ Triple combination เป็นช่วงสั้น ๆ 8–12 สัปดาห์ แล้วเปลี่ยนเป็นสูตรคงสภาพที่อ่อนโยนกว่าในระยะยาว
ควรเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้หน้าเป็นฝ้า
หลายคนพยายามรักษาฝ้าแต่ไม่ดีขึ้น เพราะทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว
- ใช้ Hydroquinone ผิดวิธี → เสี่ยงเกิด ochronosis ผิวคล้ำถาวร
- ใช้สครับหรือกรดผลไม้แรง ๆ บ่อยเกินไป → ทำให้ผิวอักเสบและฝ้าเข้มขึ้น
- ทากันแดดไม่เพียงพอ → แม้ใช้ยาหรือทำเลเซอร์ก็ไม่เห็นผล เพราะฝ้ากำเริบซ้ำ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหน้าเป็นฝ้า
Q : หน้ามีฝ้า เกิดจากอะไร
A: เกิดจากแสงแดด ฮอร์โมน (เช่น การตั้งครรภ์, ยาคุม) และพันธุกรรม ทำให้เม็ดสีเมลานินทำงานมากผิดปกติ
Q : หน้าเป็นฝ้า ใช้อะไรบำรุง
A : ควรใช้กันแดดทุกวัน และเลือกครีมบำรุงที่มีอาร์บูติน วิตามินซี กรดโคจิก หรือไนอะซินาไมด์ เพื่อลดเม็ดสีและปรับผิวให้สว่างขึ้น
Q : หน้าเป็นฝ้า รักษายังไง
A : เริ่มจากครีมลดฝ้า เช่น ไฮโดรควิโนนหรือเรตินอยด์ ภายใต้แพทย์ หากฝ้าลึกอาจเสริมด้วยเลเซอร์ IPL หรือการผลัดเซลล์ผิว พร้อมเลี่ยงแดดอย่างเคร่งครัด
Q : หน้าเป็นฝ้า ใช้อะไรดี
A : กันแดด SPF 30–50 เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ร่วมกับไวท์เทนนิ่งที่ปลอดภัย เช่น วิตามินซี อาร์บูติน หรือไนอะซินาไมด์
Q : หน้าเป็นฝ้า กับจุดด่างดำต่างกันยังไง
A :
- ฝ้า: ปื้นสีน้ำตาลเข้มหรือเทา กระจายกว้าง สัมพันธ์กับฮอร์โมนและแดด
- จุดด่างดำ: รอยเล็กหลังสิวหรือการอักเสบ จางลงได้เร็วหากใช้ครีมลดรอยและกันแดด
Q : ฝ้าเกิดจากแดดกับฮอร์โมนหรือไม่
A: ใช่ ทั้งแสงแดดและฮอร์โมนเป็นตัวกระตุ้นหลัก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ใช้ยาคุมหรือช่วงตั้งครรภ์ ฝ้าจะชัดเจนขึ้นเมื่อเจอแดด
Q: ฝ้าหายขาดได้ไหม?
A: โดยทั่วไปฝ้าสามารถ “คุมให้นิ่ง” ได้มากกว่าที่จะหายขาด หากดูแลป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัดและใช้ยาทาคงสภาพสม่ำเสมอ ฝ้าจะจางลงและไม่กลับมาเข้มง่าย
Q: คนท้องใช้ยาทาฝ้าได้หรือไม่?
A: ควรหลีกเลี่ยงยาที่เป็น Hydroquinone และ Retinoid เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารก ตัวเลือกที่ปลอดภัยคือ Vitamin C, Niacinamide และกันแดดที่มีประสิทธิภาพ
Q: เลเซอร์รักษาฝ้าช่วยจริงไหม?
A: เลเซอร์สามารถช่วยจางฝ้าได้ แต่ต้องใช้พลังงานต่ำและทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพราะหากพลังงานแรงเกินไปอาจทำให้เกิดรอยดำ (PIH) ซึ่งยิ่งคุมยากกว่าเดิม
Q: ฝ้าขึ้นเพราะกรรมพันธุ์ รักษาได้ไหม?
A: แม้พันธุกรรมจะเพิ่มความเสี่ยง แต่ก็ยังสามารถควบคุมได้ หากใช้วิธีรักษาที่เหมาะสม ควบคู่กับกันแดดและการดูแลต่อเนื่อง
Q: ทำไมฝ้าบางวันดูเข้มขึ้น?
A: ฝ้าอาจเข้มขึ้นชั่วคราวจากการโดนแดด ความร้อน หรือฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง เมื่อผิวได้พักและคุมแดดดี สีฝ้าอาจดูจางลง
Q: การดื่มคอลลาเจนหรือวิตามินเสริมช่วยรักษาฝ้าไหม?
A: อาหารเสริมอาจช่วยบำรุงผิวโดยรวม แต่ไม่ใช่การรักษาฝ้าโดยตรง การคุมแดดและใช้ยาทาเฉพาะที่ยังเป็นหัวใจหลักของการรักษา
The One Clinic วิเคราะห์หน้าเป็นฝ้าอย่างละเอียด วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
ฝ้าเป็นภาวะผิวที่สามารถควบคุมได้ หากเข้าใจและเลือกวิธีดูแลอย่างถูกต้อง โดยกุญแจสำคัญคือ การทากันแดดอย่างสม่ำเสมอ, การใช้ยาทาหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม, การปรับพฤติกรรมเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และ การรักษาต่อเนื่องอย่างมีวินัย เมื่อทำครบทุกด้านร่วมกัน ฝ้ามักค่อย ๆ จางลง สีผิวกลับมาสม่ำเสมอ และปัญหาการอักเสบหรือฝ้าใหม่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ฝ้าบางชนิดอาจลึกและรักษายาก หากต้องการผลลัพธ์ที่เห็นชัดและปลอดภัย ควรได้รับการประเมินและรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ The One Clinic ให้ความสำคัญ แพทย์จะวิเคราะห์ชนิดของฝ้าอย่างละเอียด วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เช่น การใช้ยาทา เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ฟื้นฟูที่เหมาะกับสภาพผิวเอเชีย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว




