โรคดึงผมตัวเอง (Trichotillomania) เป็นภาวะทางจิตใจอย่างหนึ่งที่ผู้ป่วยมีความรู้สึกอยากดึงผมของตัวเองซ้ำ ๆ อย่างห้ามไม่ได้ จนทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมอย่างเห็นได้ชัด บางคนอาจดึงขนคิ้ว ขนตา หรือขนตามร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจและการใช้ชีวิตประจำวัน แล้วโรคนี้ส่งผลอะไร? รักษาได้อย่างไร? หมอหนึ่งมีคำตอบค่ะ!
สารบัญ
โรคดึงผมตัวเองคืออะไร?
สำหรับโรคดึงผมตัวเอง แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีปัจจัยหลายด้านร่วมกัน ทั้งกรรมพันธุ์ ความเครียด และความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนินและโดปามีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของเรา
ลองนึกภาพว่า บางครั้งเราก็มีนิสัยชอบเคาะนิ้วหรือขยับขาเวลาเรารู้สึกตื่นเต้น สำหรับคนที่เป็นโรคดึงผมตัวเองก็คล้าย ๆ กัน แต่ความรู้สึกอยากทำจะรุนแรงมากจนแทบห้ามตัวเองไม่ได้ พฤติกรรมนี้ไม่ใช่แค่การดึงผมเล่น ๆ แต่เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นจากภายใน บางครั้งรู้ตัว บางครั้งไม่รู้ตัว โดยมักเกิดขึ้นในช่วงที่รู้สึกเครียด กังวล เบื่อหน่าย หรือแม้แต่ขณะกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ได้
ผลที่ตามมาคือ ผมร่วงเป็นหย่อม ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่เป็นโรครู้สึกไม่มั่นใจ อาย หรือกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเอง บางคนอาจพยายามซ่อนรอยผมที่หายไป หรือปกปิดพฤติกรรมนี้จากคนรอบข้าง
การดูแลรักษาโรคดึงผมตัวเองสามารถทำได้ โดยมักใช้การบำบัดทางจิตใจร่วมกับการใช้ยาในบางกรณี เช่น การบำบัดพฤติกรรม (CBT) ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีรับมือกับอารมณ์และค่อย ๆ เปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญคือ การได้รับความเข้าใจและการสนับสนุนจากคนรอบข้าง รวมถึงการพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสม เพราะโรคนี้สามารถดีขึ้นได้ หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและใส่ใจ
สาเหตุของโรคดึงผมตัวเอง

สาเหตุที่แท้จริงของโรคดึงผมตัวเองยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้เกิดโรคนี้ขึ้น ได้แก่:
- ปัจจัยทางพันธุกรรม: มีแนวโน้มว่าหากมีบุคคลในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคทางจิตเวช เช่น โรคดึงผมตัวเอง โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) หรือโรคเกี่ยวกับความวิตกกังวล จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้
- ปัจจัยทางชีวภาพ: ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และโดปามีน (Dopamine) อาจมีบทบาทในการเกิดโรคนี้
- ปัจจัยทางจิตใจและอารมณ์:
- ความเครียดและความวิตกกังวล: การดึงผมอาจเป็นกลไกในการรับมือกับความเครียด ความวิตกกังวล หรือความรู้สึกไม่สบายใจ
- ความเบื่อหน่าย: ในบางครั้ง การดึงผมอาจเป็นเพียงกิจกรรมที่ทำเมื่อรู้สึกเบื่อ
- ความรู้สึกโล่งใจหรือพึงพอใจ: ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกโล่งใจหรือพึงพอใจหลังจากดึงผม
- ปัญหาทางอารมณ์อื่น ๆ: เช่น ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกผิด หรือความอับอาย
- ปัจจัยทางพฤติกรรม: พฤติกรรมการดึงผมอาจเริ่มต้นจากการลองทำ และเมื่อทำซ้ำ ๆ ก็จะกลายเป็นนิสัยที่ควบคุมได้ยาก
อาการของโรคดึงผมตัวเอง
อาการหลักของโรคดึงผมตัวเองคือ การดึงผมของตนเองซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง จนสังเกตได้ว่าผมบางหรือมีผมร่วงเป็นหย่อม ๆ
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมด้วย ได้แก่:
- รู้สึกอยากดึงผมอย่างมาก จนควบคุมได้ยาก
- อาจรู้สึกกระวนกระวายหรือไม่สบายใจก่อนดึงผม และรู้สึกดีขึ้นหรือโล่งใจหลังจากดึง
- การดึงผมอาจเกิดขึ้นโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ เช่น ตอนดูทีวี หรือตอนคิดอะไรเพลิน ๆ
- อาจดึงผมจากบริเวณใดก็ได้ เช่น หนังศีรษะ คิ้ว ขนตา หรือบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายที่มีขน
- บางคนอาจมีพฤติกรรมอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับผมที่ดึงออกมา เช่น เอามาเล่น กัด หรือกลืน
- รู้สึกอับอาย เสียใจ หรือกังวล เกี่ยวกับการดึงผมและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับรูปลักษณ์ของตนเอง
ผลกระทบของโรคดึงผมตัวเอง
การดึงผมตัวเองไม่เพียงทำให้เกิดอาการผมบาง หรือผมร่วงเป็นหย่อม แต่โรคดึงผมตัวเองยังส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยในหลายด้าน ดังนี้:
ด้านร่างกาย:
- ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือผมบาง: เป็นผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด อาจเกิดขึ้นบริเวณหนังศีรษะ คิ้ว ขนตา หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
- ผิวหนังอักเสบหรือระคายเคือง: การดึงผมซ้ำ ๆ อาจทำให้หนังศีรษะอักเสบหรือบริเวณที่ดึงผมเกิดการอักเสบ แดง หรือระคายเคือง
- การติดเชื้อ: หากมีการดึงผมจนเกิดบาดแผล อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ความเสียหายต่อรูขุมขน: การดึงผมเป็นเวลานานอาจทำให้รูขุมขนเสียหายและส่งผลต่อการงอกใหม่ของเส้นผม
- ปัญหาทางทันตกรรม: ในบางรายที่ชอบกัดหรือเคี้ยวผมที่ดึงออกมา อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพฟัน
ด้านจิตใจและอารมณ์:
- ความรู้สึกอับอายและผิดหวัง: ผู้ป่วยมักรู้สึกอับอายและผิดหวังกับพฤติกรรมของตนเองและการสูญเสียเส้นผม
- ความวิตกกังวลและความเครียด: ความต้องการที่จะดึงผมและความกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์อาจทำให้เกิดความวิตกกังวลและความเครียด
- ภาวะซึมเศร้า: การสูญเสียความมั่นใจในตนเองและปัญหาทางสังคมที่ตามมาอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
- ความรู้สึกผิด: ผู้ป่วยอาจรู้สึกผิดที่ควบคุมพฤติกรรมของตนเองไม่ได้
- ความรู้สึกโดดเดี่ยว: การพยายามซ่อนพฤติกรรมจากผู้อื่นอาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว
ด้านสังคม:
- ปัญหาในการเข้าสังคม: ความกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์อาจทำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
- ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด: พฤติกรรมการดึงผมอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก
- การถูกล้อเลียนหรือตีตรา: ผู้ป่วยอาจถูกล้อเลียนหรือถูกมองในแง่ลบจากผู้อื่น
ด้านการใช้ชีวิตประจำวัน:
- ปัญหาในการทำงานหรือการเรียน: ความกังวลและอาการทางจิตใจอื่น ๆ อาจส่งผลต่อสมาธิและความสามารถในการทำงานหรือการเรียน
- การหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่าง: เช่น การว่ายน้ำ หรือกิจกรรมที่ทำให้เห็นบริเวณที่ผมร่วงชัดเจน
- การใช้เวลาและความพยายามในการปกปิด: ผู้ป่วยอาจต้องเสียเวลาและความพยายามอย่างมากในการปกปิดร่องรอยการดึงผม
วิธีวินิจฉัยโรคดึงผมตัวเอง
การวินิจฉัยโรคดึงผมตัวเองมักจะทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือผู้ให้การบำบัดที่มีประสบการณ์ในการวินิจฉัยและรักษาโรคนี้ โดยทั่วไปแล้ว กระบวนการวินิจฉัยจะประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ค่ะ
ขั้นตอนแรกเลย คือ การซักประวัติ (History Taking) หมอจะถามคำถามหลายอย่าง เพื่อให้เข้าใจถึงลักษณะของอาการดึงผมที่เป็น เช่น
- อาการเริ่มเมื่อไหร่? ตอนเด็ก วัยรุ่น หรือเพิ่งมาเป็นตอนโต?
- ความถี่ในการดึงผมเป็นยังไง? ดึงบ่อยแค่ไหน? มีช่วงที่ดึงมากเป็นพิเศษไหม?
- บริเวณที่ดึงผมคือตรงไหนบ้าง? หนังศีรษะ คิ้ว ขนตา หรือส่วนอื่น?
- มีอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้ดึงผมไหม? เช่น ความเครียด ความกังวล ความเบื่อ หรือบางทีก็ไม่รู้ตัว?
- รู้สึกยังไงก่อนดึงผม? มีความรู้สึกอยากทำที่ควบคุมไม่ได้ไหม?
- รู้สึกยังไงหลังดึงผม? โล่งใจ สบายใจ หรือรู้สึกผิด?
- เคยพยายามที่จะหยุดดึงผมเองไหม? ทำได้นานแค่ไหน?
- อาการนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง? เช่น การเข้าสังคม การเรียน การทำงาน หรือความรู้สึกมั่นใจในตัวเอง?
- มีประวัติโรคทางจิตเวชอื่น ๆ หรือไม่? ทั้งของตัวเองและคนในครอบครัว
ขั้นตอนที่สองคือ การตรวจร่างกาย (Physical Examination) แพทย์จะตรวจดูบริเวณที่มีผมร่วง เพื่อดูว่าลักษณะการร่วงเป็นแบบไหน เข้าได้กับโรคดึงผมตัวเองหรือไม่ และเพื่อแยกโรคทางผิวหนังอื่น ๆ ที่อาจทำให้ผมร่วงได้
ขั้นตอนที่สามคือ การประเมินตามเกณฑ์วินิจฉัย (Diagnostic Criteria) ซึ่งตรงนี้แพทย์จะอิงตามคู่มือ DSM-5-TR โดยมีเกณฑ์หลัก ๆ ดังนี้:
- ต้องมีการดึงผมซ้ำ ๆ จนทำให้ผมร่วงอย่างเห็นได้ชัด
- ต้องมีความพยายามที่จะลดหรือหยุดพฤติกรรมการดึงผม แต่ทำได้ยาก
- พฤติกรรมการดึงผมนี้ต้องไม่ใช่อาการของโรคทางผิวหนังอื่น หรือความผิดปกติทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น โรคที่ทำให้เกิดภาพหลอนว่ามีแมลงไต่ตามตัว
- อาการนี้ต้องสร้างความทุกข์ หรือส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
ขั้นตอนสุดท้ายคือ การวินิจฉัยแยกโรค (Differential Diagnosis) แพทย์จะต้องแน่ใจว่าอาการที่เป็นไม่ได้เกิดจากโรคอื่นที่มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น
- โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder – OCD): แม้ว่าอาจมีพฤติกรรมที่ทำซ้ำ ๆ แต่แรงจูงใจอาจแตกต่างกัน
- ความผิดปกติของรูปลักษณ์ (Body Dysmorphic Disorder): ผู้ป่วยจะหมกมุ่นกับรูปลักษณ์ภายนอก แต่ไม่ได้เน้นที่การดึงผมโดยตรง
- โรคทางผิวหนัง: บางโรคอาจทำให้เกิดอาการคันหรืออยากดึงผม
โดยรวมแล้ว การวินิจฉัยโรคดึงผมตัวเองจะมาจากการพูดคุยกันอย่างละเอียด การตรวจร่างกาย และการพิจารณาตามเกณฑ์วินิจฉัยใน DSM-5-TR รวมถึงการแยกโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกัน หากคนไข้มีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามหรือปรึกษาที่ The One Clinic ได้เลยค่ะ
วิธีรักษาโรคดึงผมตัวเอง
วิธีรักษาโรคดึงผมตัวเองมักเป็นการผสมผสานระหว่างการบำบัดทางจิตวิทยาและการใช้ยา โดยมีแนวทางการรักษาหลัก ๆ ดังนี้:
1. การบำบัดทางจิตวิทยา:
- Habit Reversal Training (HRT): เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ช่วยให้ผู้ป่วยระบุปัจจัยกระตุ้นและเรียนรู้วิธีตอบสนองด้วยพฤติกรรมอื่นแทนการดึงผม
- Cognitive Behavioral Therapy (CBT): ช่วยจัดการความคิดและความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับการดึงผม
- Acceptance and Commitment Therapy (ACT): ช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับความคิดและความรู้สึก และมุ่งเน้นไปที่การใช้ชีวิตตามเป้าหมาย
- Dialectical Behavior Therapy (DBT): อาจช่วยในเรื่องการควบคุมอารมณ์
2. การใช้ยา:
- Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs): เช่น ฟลูออกซิติน อาจช่วยลดอาการย้ำคิดย้ำทำและความวิตกกังวล
- N-acetylcysteine (NAC): สารต้านอนุมูลอิสระที่บางการศึกษาพบว่าอาจช่วยลดความต้องการดึงผม
- ยาอื่น ๆ: แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาอื่น ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
การรักษาโรคดึงผมตัวเองมักต้องใช้เวลาและความอดทน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลค่ะ
หมอหนึ่งแชร์เคล็ดลับ! ลดพฤติกรรมดึงผมตัวเอง
จากประสบการณ์การรักษาคนไข้ผมร่วงผมบางจากโรคดึงผมตัวเองนะคะ เราเข้าใจถึงความรู้สึกและผลกระทบของโรคดึงผมตัวเอง เลยอยากจะเสริมเคล็ดลับเพิ่มเติมจากมุมมองที่อาจจะเน้นความรู้สึกและการดูแลตัวเองมากขึ้นค่ะ
- เข้าใจและยอมรับตัวเอง: สิ่งแรกที่สำคัญมาก ๆ คือการที่เราต้องเข้าใจว่าโรคดึงผมตัวเองเป็นภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่ง ไม่ใช่ความผิดหรือความอ่อนแอของเรานะคะ การยอมรับตัวเองจะช่วยลดความรู้สึกผิดและความกดดันได้
- ใส่ใจความรู้สึกตัวเอง: ลองสังเกตดูว่าช่วงไหนที่เรามักจะดึงผมมากเป็นพิเศษ มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไหม? เช่น เหงา เศร้า กังวล หรือเบื่อ การเข้าใจอารมณ์ตัวเองจะช่วยให้เราหาทางรับมือกับมันได้ดีขึ้นค่ะ
- สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง: ลองมองไปรอบๆ ตัวเราค่ะ มีอะไรที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้บ้างเพื่อช่วยลดโอกาสในการดึงผม? เช่น ถ้าชอบดึงผมหน้ากระจก อาจจะลองหาผ้ามาคลุมกระจกไว้ หรือถ้าชอบดึงผมตอนดูทีวี อาจจะหาอะไรทำมือไปด้วย เช่น ถักไหมพรม หรือปั้นดินน้ำมัน
- ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง: การดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ค่ะ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเบา ๆ ที่เราชอบ และหากิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
- อ่อนโยนกับตัวเอง: ในช่วงที่เราพยายามลดพฤติกรรมการดึงผม อาจจะมีวันที่เราพลาดไปบ้าง ไม่เป็นไรนะคะ อย่าเพิ่งท้อแท้หรือตำหนิตัวเอง ให้มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และปรับปรุง ค่อย ๆ เริ่มใหม่ได้เสมอค่ะ
- หาใครสักคนที่ไว้ใจพูดคุย: การมีคนที่เราสามารถระบายความรู้สึกและขอความช่วยเหลือได้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
- อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ: การบำบัดทางจิตวิทยา เช่น Habit Reversal Training (HRT) หรือ CBT มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคนี้มากนะคะ การไปพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นการแสดงว่าเราใส่ใจและอยากที่จะดูแลสุขภาพจิตใจของเราอย่างจริงจังค่ะ
- เชื่อมั่นในตัวเอง: ขอให้เชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณสามารถรักษาโรคนี้ให้หายได้และค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง
โรคดึงผมตัวเองสามารถหายขาดได้หรือไม่?
โรคดึงผมตัวเอง สามารถจัดการและควบคุมอาการได้จนผู้ป่วยจำนวนมากสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมาก แต่การหายขาดอย่างถาวรนั้นอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
เหตุผลที่การหายขาดอย่างถาวรอาจซับซ้อน:
- เป็นโรคทางจิตเวช: เช่นเดียวกับโรคทางจิตเวชอื่น ๆ สาเหตุที่แท้จริงอาจมาจากปัจจัยทางชีวภาพ จิตใจ และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน
- ลักษณะเรื้อรัง: ในบางคน โรคดึงผมตัวเองอาจมีลักษณะเรื้อรัง มีช่วงที่อาการดีขึ้นและช่วงที่อาการกำเริบ
- ความแตกต่างของแต่ละบุคคล: การตอบสนองต่อการรักษาและแนวโน้มของโรคจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน
สิ่งที่ควรทราบ:
- การรักษาช่วยให้อาการดีขึ้นมาก: การบำบัดทางจิตวิทยา เช่น Habit Reversal Training (HRT) และ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) รวมถึงการใช้ยาในบางกรณี สามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของการดึงผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การจัดการระยะยาว: แม้ว่าอาการจะดีขึ้นมากแล้ว การดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องและการตระหนักรู้ถึงปัจจัยกระตุ้นยังคงมีความสำคัญในการป้องกันการกลับมาของอาการ
- โอกาสในการกลับมาของอาการ: เช่นเดียวกับโรคทางจิตเวชอื่น ๆ มีโอกาสที่อาการของโรคดึงผมตัวเองจะกลับมาได้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความเครียดหรือมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
- เป้าหมายของการรักษา: เป้าหมายหลักของการรักษาคือการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมพฤติกรรมการดึงผม ลดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การหายขาดอย่างเดียว
ถึงแม้ว่าการ “หายขาด” อย่างถาวรอาจเป็นคำที่ยังไม่สามารถรับประกันได้สำหรับทุกคนที่เป็นโรคดึงผมตัวเอง แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสม การดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถจัดการกับอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีชีวิตที่มีความสุขได้ค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคดึงผมตัวเอง

Q : ดึงผมตัวเอง ผมจะขึ้นไหม?
A : โดยทั่วไปแล้ว ผมที่ถูกดึงออกไปเองมีโอกาสที่จะขึ้นใหม่ได้ เพราะรากผมยังมีชีวิตอยู่ แต่สามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่ The One Clinic ก่อนได้ค่ะ
Q : สามารถรักษาโรคดึงผมได้เองโดยไม่ต้องพบแพทย์หรือไม่?
A : การรักษาโรคดึงผมตัวเองด้วยตนเองโดยไม่พบแพทย์ อาจเป็นไปได้ในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรงนัก และคุณมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างมากค่ะ สามารถใช้เคล็ดลับที่แนะนำไปแล้วด้านบนได้ค่ะ ยังไงกำลังใจจากตัวเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด