ผมคือหนึ่งในสัญลักษณ์ความมั่นใจของผู้หญิง แต่เมื่อผมร่วงมากกว่าปกติ ความกังวลก็ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการเห็นผมติดหวีเต็มมือ เห็นกองผมในห้องน้ำทุกครั้งที่สระ หรือแสกผมที่กว้างขึ้นจนหนังศีรษะเริ่มชัดเจนขึ้น ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ แต่ยังบั่นทอนความมั่นใจและคุณภาพชีวิตได้จริง ๆ
ต่างจากผู้ชายที่ผมร่วงส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรมเพียงปัจจัยเดียว ในผู้หญิงสาเหตุมีความซับซ้อนกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน, ภาวะหลังคลอด, วัยทอง, ความเครียดสะสม, การขาดสารอาหาร, โรคประจำตัว, ยาที่ใช้ หรือแม้แต่พันธุกรรมเอง ดังนั้นแนวทางวิธีแก้ผมร่วงจึงไม่ใช่การซื้อแชมพูหรือวิตามินทั่วไปมาใช้ แต่ต้อง หาสาเหตุหลัก ให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยเลือกการรักษาที่เหมาะสม
สารบัญ
วงจรเส้นผม ทำไมผมถึงร่วงได้
ก่อนจะเข้าใจว่าทำไมผมร่วงผิดปกติ ควรเริ่มจากพื้นฐานของเส้นผม ซึ่งมีวงจรชีวิต 3 ระยะหลัก ๆ
- Anagen (ระยะเจริญงอก): ช่วงที่เส้นผมกำลังเจริญเติบโตเต็มที่ ระยะนี้ยาวนานที่สุด 2–6 ปี และปกติผมประมาณ 80–90% ของศีรษะจะอยู่ในช่วงนี้
- Catagen (ระยะพัก): ระยะเปลี่ยนผ่านสั้น ๆ ประมาณ 2–3 สัปดาห์ เป็นช่วงที่รากผมหยุดแบ่งเซลล์และเตรียมเข้าสู่การพัก
- Telogen (ระยะหลุดร่วง): เส้นผมเก่าเตรียมหลุดออก เพื่อเปิดทางให้เส้นผมใหม่งอกขึ้น ใช้เวลาประมาณ 2–3 เดือน
โดยทั่วไปผมร่วงวันละ 50–100 เส้นถือว่าปกติ แต่ถ้าร่วงเกิน 150 เส้น/วันต่อเนื่องหลายสัปดาห์ หรือเริ่มเห็น แสกผมกว้างและผมบางลงจนสังเกตได้ ถือเป็นสัญญาณผิดปกติที่ควรเข้ารับการตรวจ
สาเหตุผมร่วงที่พบบ่อยในผู้หญิง

1. ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
ฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดวงจรผมโดยตรง โดยเฉพาะ เอสโตรเจนและแอนโดรเจน
- หลังคลอด: ระหว่างตั้งครรภ์ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงทำให้ผมหนาแน่นและแข็งแรง แต่หลังคลอดฮอร์โมนลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เส้นผมจำนวนมากเข้าสู่ระยะหลุดร่วงพร้อมกัน คุณแม่จึงพบว่าผมร่วงหนักช่วง 3–6 เดือนแรก บางรายถึงขั้นเห็นผมร่วงเป็นกระจุก แต่โดยทั่วไปภายใน 6–12 เดือนผมจะค่อย ๆ ฟื้นตัวเอง
- PCOS (Polycystic Ovary Syndrome): ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ทำให้แอนโดรเจนสูงเกินไป ส่งผลให้ผมบางกลางหัว เส้นเล็กลงเรื่อย ๆ และมักมีสิว ผิวมัน ขนดก รอบเดือนผิดปกติร่วมด้วย
- วัยทอง: เมื่อเอสโตรเจนลดต่ำลงในวัยหมดประจำเดือน ผมจะบางลงทั่วศีรษะ ผมใหม่ที่งอกมามักเส้นเล็กและเปราะง่าย ทำให้ความหนาแน่นโดยรวมลดลงอย่างชัดเจน
2. พันธุกรรม (Female Pattern Hair Loss: FPHL)
ผมร่วงจากพันธุกรรมในผู้หญิงมีลักษณะเฉพาะคือ ผมจะค่อย ๆ บางลงบริเวณกลางกระหม่อมและแสกผมกว้างขึ้นเรื่อย ๆ แต่แนวไรผมด้านหน้ายังคงอยู่ ไม่ถอยร่นเหมือนผู้ชาย ภาวะนี้มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและความไวของรากผมต่อฮอร์โมนแอนโดรเจน การดำเนินโรคช้ามาก บางคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นชัดเจน
3. Telogen Effluvium
เป็นภาวะที่เส้นผมจำนวนมากเข้าสู่ระยะ Telogen พร้อมกัน มักเกิดจากปัจจัยกระตุ้น เช่น
- ความเครียดรุนแรง
- การเจ็บป่วยหนักหรือผ่าตัดใหญ่
- ไข้สูงจากการติดเชื้อ
- การลดน้ำหนักเร็ว
- การเปลี่ยนยาบางชนิด
อาการจะไม่เกิดทันที แต่จะเริ่มเห็นผมร่วงผิดปกติหลังเหตุการณ์ไปแล้วประมาณ 2–3 เดือน และร่วงกระจายทั่วศีรษะ ไม่ได้เป็นเฉพาะจุด ส่วนใหญ่เมื่อแก้ที่สาเหตุแล้ว ผมจะค่อย ๆ กลับมาสมดุลใน 3–6 เดือน
4. ขาดสารอาหาร
ร่างกายต้องใช้สารอาหารหลายชนิดในการสร้างและซ่อมเส้นผม หากขาดไปจะส่งผลชัดเจน เช่น
- ธาตุเหล็กต่ำ: ทำให้ผมร่วงง่ายและซีด เห็นได้บ่อยในผู้หญิงที่มีประจำเดือนมากหรือกินอาหารไม่ครบหมู่
- สังกะสีต่ำ: ส่งผลให้ผมเปราะ ขาดง่าย และหนังศีรษะระคายเคือง
- โปรตีนไม่พอ: ทำให้ร่างกายสร้างเส้นผมใหม่ได้ช้า
- วิตามิน D ต่ำ: มีผลต่อการทำงานของรากผมและภูมิคุ้มกัน
5. โรคและยา
- โรคไทรอยด์: ทั้งภาวะไทรอยด์ต่ำและสูงมีผลต่อวงจรผม
- โรคโลหิตจาง และโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น SLE, Alopecia areata
- ยา: ยาคุมกำเนิด/หยุดยาคุม, ยาต้านซึมเศร้า, ยาลดความดัน, ยาต้านมะเร็งบางชนิด ซึ่งมีผลต่อการงอกใหม่ของเส้นผม
6. พฤติกรรมการดูแลผม
แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้ผมร่วงมากขึ้น
- มัดผมแน่นเกินไป: เช่น รัดหางม้าแน่น ๆ ทุกวัน ส่งผลให้เกิด traction alopecia รากผมอ่อนแอและหลุดง่าย
- การทำเคมีผมบ่อย: เช่น ดัด ยืด ย้อมถี่เกินไป ทำลายโครงสร้างเส้นผม ทำให้เปราะบาง
- การใช้ความร้อนสูง: ไดร์แรง ๆ หรือหนีบผมทุกวันทำให้ผมเสียความชุ่มชื้น แตกหักง่าย
- สระผมน้อย: ทำให้หนังศีรษะมันและรูขุมขนอุดตัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมให้ผมร่วงมากขึ้น
การตรวจวินิจฉัยที่ควรทำ
หากผมร่วงผิดปกติ ควรให้แพทย์ตรวจเพื่อแยกสาเหตุ
- ซักประวัติ: เช่น เริ่มร่วงเมื่อไร เคยมีเหตุการณ์เครียดหรือเจ็บป่วย โรคประจำตัว ยาที่ใช้ รอบเดือนปกติหรือไม่
- ตรวจหนังศีรษะ: ประเมินความหนาแน่นของผม ลักษณะการร่วง และทำ Pull test หรือ Wash test
- Trichoscopy: ใช้กล้องขยายรากผม เพื่อดูความผิดปกติอย่างละเอียด
- ตรวจเลือด: CBC, เฟอร์ริติน, ไทรอยด์, วิตามิน D, ฮอร์โมนเพศ ตามความจำเป็น
แนวทางรักษาผมร่วงผู้หญิงตามสาเหตุ
- หลังคลอด: ผมจะดีขึ้นเองใน 6–12 เดือน แนะนำให้โภชนาการครบ ดูแลสุขภาพ และพักผ่อน
- PCOS / ฮอร์โมนเด่น: ควบคุมน้ำหนัก ลดอาหาร GI สูง บางกรณีแพทย์อาจใช้ยาคุมหรือยากลุ่ม Anti-androgen
- Telogen Effluvium: เน้นแก้ปัจจัยกระตุ้น เช่น เพิ่มการนอน ลดเครียด เสริมอาหารครบ อาการจะดีขึ้นใน 3–6 เดือน
- ขาดสารอาหาร: ตรวจเลือดก่อนแล้วเสริมเฉพาะที่ขาด เช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามิน D
- พันธุกรรม (FPHL):
- Minoxidil 2–5%: ใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ถือเป็นการรักษาหลัก
- Low Level Laser Therapy (LLLT): เลเซอร์กำลังต่ำ ใช้ 3–4 ครั้ง/สัปดาห์ ต่อเนื่อง ≥12 สัปดาห์
- PRP (Platelet-Rich Plasma): ฉีดเกล็ดเลือดเข้าหนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นรากผม
- ยารับประทาน: เช่น minoxidil ขนาดต่ำ หรือ spironolactone (ต้องอยู่ภายใต้แพทย์)
- ปลูกผม: เหมาะในเคสที่ผมบางมาก และการรักษาอื่นไม่เพียงพอ
การดูแลประจำวันเพื่อช่วยลดผมร่วง
- สระผมทุก 1–2 วันด้วยแชมพูอ่อนโยน: เพื่อลดไขมันและสิ่งอุดตัน ไม่ควรเลือกแชมพูที่มีสารซักฟอกแรง
- เลี่ยงการมัดแน่นและใช้ความร้อนสูง: การดึงตึงหรือใช้ความร้อนบ่อย ๆ ทำให้เส้นผมและราอ่อนแอ
- ลดการทำเคมีผมถี่เกินไป: ดัด ยืด ย้อม ควร间ห่าง และดูแลด้วยทรีตเมนต์บำรุงผม
- กินอาหารครบ: โปรตีนคุณภาพดี ธาตุเหล็ก (เนื้อแดง, ตับ, ผักใบเขียว) ร่วมกับวิตามิน C เพื่อช่วยดูดซึม เสริมผักผลไม้ วิตามิน D และสังกะสี
จัดการความเครียดและนอนให้เพียงพอ: ควรนอน 7–8 ชั่วโมง/วัน และหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น โยคะ เดิน หรือทำสมาธิ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผมร่วงในผู้หญิง

Q : ผมร่วงผู้หญิงผมบางเกิดจากสาเหตุยังไง
A : มักเกิดจากฮอร์โมนไม่สมดุล (หลังคลอด วัยทอง) พันธุกรรม ขาดสารอาหารสำคัญ และความเครียดที่ทำให้วงจรผมสั้นลง
Q : ผู้หญิงผมร่วงผมบางแก้ยังไง?
A : เริ่มจากปรับโภชนาการ พักผ่อนให้พอ ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อใช้ยาปลูกผม (เช่น Minoxidil) หรือทำทรีตเมนต์กระตุ้นรากผม
Q : ผมร่วงมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง?
A : นอกจากพันธุกรรม ยังอาจเกิดจากโรคไทรอยด์ โลหิตจาง โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงหลังคลอด หรือการใช้สารเคมีทำผมบ่อย ๆ
Q : ผมร่วงเกิดจากอะไร?
A : สาเหตุหลักคือฮอร์โมนผิดปกติ พันธุกรรม ความเครียด และโภชนาการไม่สมดุล ทำให้ผมร่วงเร็วขึ้นและเส้นผมใหม่งอกบางลงเรื่อย ๆ
Q : ทำยังไงผมถึงหยุดร่วงจริงไหม?
A: สามารถลดการร่วงได้ด้วยการใช้ยา (Minoxidil, Finasteride) การทำ PRP หรือการปลูกผม แต่ต้องรักษาต่อเนื่องตามคำแนะนำแพทย์
Q : ผมมันเกิดจากอะไร?
A: เกิดจากการที่ต่อมไขมันบนหนังศีรษะผลิตน้ำมันมากเกินไป อาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ฮอร์โมน หรือการใช้แชมพู/คอนดิชันเนอร์ที่ไม่เหมาะสม
Q : ผมร่วงวันละกี่เส้นถึงผิดปกติ?
A: ปกติ 50–100 เส้น/วันถือว่าปกติ แต่ถ้าร่วงมากกว่า 150 เส้น/วันติดต่อกัน และเห็นผมบางหรือแสกกว้างขึ้น ถือว่าผิดปกติ ควรพบแพทย์
Q: Minoxidil ต้องใช้ต่อเนื่องหรือไม่?
A: หากเป็นผมร่วงพันธุกรรม (FPHL) จำเป็นต้องใช้ต่อเนื่อง เพราะเมื่อหยุดใช้ผมที่ขึ้นใหม่อาจกลับมาร่วงตามธรรมชาติ แต่หากเป็นผมร่วงชั่วคราว เช่น หลังคลอด มักไม่จำเป็นต้องใช้ยาตลอดไป
Q: หลังคลอดทำไมผมร่วงเยอะ?
A: เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้ผมจำนวนมากเข้าสู่ระยะร่วงพร้อมกัน ถือเป็นภาวะชั่วคราว ผมจะค่อย ๆ กลับมาปกติใน 6–12 เดือน
Q: ดื่มวิตามินหรือคอลลาเจนช่วยได้จริงไหม?
A: มีประโยชน์เฉพาะกรณีที่ตรวจพบการขาดสาร เช่น ธาตุเหล็กหรือวิตามิน D หากเป็นผมร่วงจากฮอร์โมนหรือพันธุกรรม การเสริมอาหารเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
Q: PRP หรือเลเซอร์ช่วยได้จริงหรือเปล่า?
A: งานวิจัยสนับสนุนว่า PRP และเลเซอร์กำลังต่ำช่วยกระตุ้นรากผมได้ แต่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละคน และควรใช้ร่วมกับการรักษาหลักเพื่อให้ได้ผลดีกว่า
The One Clinic ทางเลือกในการดูแลปัญหาผมร่วงของผู้หญิง
แม้ผมร่วงในผู้หญิงจะมีหลายสาเหตุ ตั้งแต่ฮอร์โมน พันธุกรรม ภาวะหลังคลอด ไปจนถึงโภชนาการและโรคประจำตัว การรักษาที่ได้ผลจริงต้องอาศัย การหาต้นเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล The One Clinic สามารถประเมินอย่างละเอียด ทั้งประวัติสุขภาพ การตรวจหนังศีรษะ จากนั้นจึงออกแบบการรักษาที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาผมร่วงเฉพาะหน้า แต่ช่วยให้เส้นผมกลับมาแข็งแรง สุขภาพดี และลดโอกาสการร่วงซ้ำในอนาคต





