“หน้าเป็นกระ” เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในคนเอเชียที่มีผิวไวต่อแสงและมีเม็ดสีมากกว่าคนยุโรป
กระไม่ได้เกิดจาก “แดดอย่างเดียว” แต่มีส่วนผสมของ พันธุกรรม แสง UV ฮอร์โมน และพฤติกรรมสะสม ที่กระตุ้นให้เม็ดสีผิว (เมลานิน) ผลิตมากเกินไปจนเกิดเป็นจุดสีน้ำตาลกระจายบนใบหน้า
ถึงแม้กระจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่กลับส่งผลต่อความมั่นใจอย่างมาก เพราะผิวดูไม่สม่ำเสมอ แต่งหน้าไม่ติด และจางยากหากไม่ดูแลให้ถูกวิธี
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ “ชนิดของกระ”, “สาเหตุหลัก”, “แนวทางรักษาที่เห็นผลจริง” และ “วิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ” โดยอ้างอิงข้อมูลจากแพทย์ผิวหนังและแนวทางการรักษาที่ The One Clinic ใช้อย่างได้ผลกับผู้ป่วยจริง
สารบัญ

ชนิดของกระ (Freckles & Spots)
ก่อนรักษา ต้องรู้ว่ากระแต่ละแบบไม่เหมือนกัน เพราะตำแหน่งของเม็ดสีที่อยู่ในผิวต่างกัน ทำให้การรักษาต้องใช้เทคนิคเฉพาะ
1. กระแดด (Ephelides)
เป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อน มักขึ้นบริเวณโหนกแก้ม จมูก และหน้าผาก โดยเฉพาะในคนที่โดนแดดบ่อย
- มักขึ้นตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น และสีเข้มขึ้นเมื่อโดนแสง UV
- จุดเด่นคือ “จางลงในฤดูหนาว” และ “เข้มขึ้นในฤดูร้อน”
- การรักษาทำได้ง่ายกว่ากระลึก เพราะอยู่ในชั้นหนังกำพร้า
2. กระลึก (Lentigines / Age Spots)
เป็นกระที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีในชั้นหนังแท้ มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเข้มหรือเทา ขนาดใหญ่กว่าและคมชัดกว่ากระแดด
- มักเกิดในผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะคนที่โดนแดดสะสม
- จางยากกว่ากระแดด ต้องอาศัยเลเซอร์พลังงานต่ำและคอร์สต่อเนื่อง
3. กระตื้น–กระลึกผสม
พบได้บ่อยที่สุดในคนเอเชีย กระบางจุดอยู่ตื้น บางจุดอยู่ลึก
- ต้องใช้วิธีผสม เช่น ยาทา + เลเซอร์หลายชนิดร่วมกัน
- หากรักษาไม่ครบชั้นเม็ดสี กระจะกลับมาเข้มซ้ำง่าย

ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้ “กระเข้มขึ้น”
ก่อนจะรักษาให้ได้ผล ต้องรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้กระเดิม “เข้มขึ้น” หรือกระใหม่ “เพิ่มขึ้น”
เพราะต่อให้ทำเลเซอร์ดีแค่ไหน แต่ถ้ายังปล่อยให้ปัจจัยเหล่านี้เกิดซ้ำ ก็จะวนกลับมาเหมือนเดิม
1. แสงแดดและรังสี UV
เป็นตัวกระตุ้นหลักที่สุด เพราะรังสี UV-A และ UV-B จะกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (เซลล์สร้างเม็ดสี) ทำงานหนักขึ้น เกิดจุดกระเพิ่ม และกระเดิมเข้มขึ้น
นอกจากนี้ “แสงฟ้า (Blue Light)” จากหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์ ก็มีส่วนกระตุ้นเม็ดสีด้วยเช่นกัน
2. ฮอร์โมนและการเปลี่ยนแปลงภายใน
ในผู้หญิง กระอาจเข้มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ การใช้ยาคุม หรือภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ซึ่งกระตุ้นการสร้างเม็ดสีโดยตรง
3. พันธุกรรม
หากพ่อแม่หรือคนในครอบครัวมีประวัติมีกระตั้งแต่วัยรุ่น คุณอาจมีแนวโน้มเป็นกระได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
4. พฤติกรรมทำร้ายผิว
เช่น การสครับแรง การใช้กรดผลไม้/วิตามินซีความเข้มข้นสูงเกินไป หรือการลอกผิวบ่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกราะผิวบางและไวต่อแสงมากขึ้น
วิธีรักษา “หน้าเป็นกระ” อย่างได้ผล
หัวใจของการรักษากระคือ “คุมการสร้างเม็ดสี + ทำให้กระเดิมจางลงอย่างปลอดภัย”
ซึ่งต้องใช้หลายวิธีร่วมกันแบบเป็นขั้นตอน โดยแพทย์จะเลือกให้เหมาะกับชนิดกระและสภาพผิวของแต่ละคน
1. การทายาและเวชสำอาง (Topical Treatment)
เป็นพื้นฐานสำคัญของการดูแลกระ เพราะช่วยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเม็ดสี
สารที่นิยมใช้ เช่น
- Hydroquinone (HQ) – ยาทามาตรฐานที่ช่วยลดเม็ดสี แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์
- Tranexamic Acid (TXA) – ลดการอักเสบและการกระจายตัวของเม็ดสี
- Niacinamide, Vitamin C, Kojic Acid, Arbutin, Licorice Extract – สำหรับการคงสภาพและลดรอยหมองหลังเลเซอร์
- Tretinoin / Retinal – กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้กระตื้นจางไวขึ้น
เคล็ดลับ: การใช้ยาทาควรค่อย ๆ เพิ่มความถี่และใช้ร่วมกับมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
2. เลเซอร์และทรีตเมนต์ในคลินิก
ในผู้ที่มีกระลึกหรือกระผสม มักต้องใช้เลเซอร์ร่วม เช่น
- Q-Switched Laser – ปล่อยพลังงานสั้นมาก ยิงเฉพาะเม็ดสี ทำให้กระจางโดยไม่ทำร้ายผิวรอบข้าง
- Pico Laser – พลังงานละเอียดกว่า Q-switch เหมาะกับผิวเอเชียที่ไวต่อแสง
- Fractional Laser – กระตุ้นการผลัดผิวและสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะกับผู้ที่มีกระร่วมกับรอยดำ/หลุมสิว
- Meso Bright / Meso White Therapy – การผลักวิตามินและสารยับยั้งเม็ดสีเข้าสู่ผิวโดยไม่ใช้เข็ม
ที่ The One Clinic จะใช้เทคนิค Laser Toning Multi-Mode โดยปรับค่าพลังงานให้เหมาะกับระดับกระของแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่จางลงอย่างปลอดภัยโดยไม่เกิดรอยดำหลังเลเซอร์ (PIH)
3. การดูแลระยะยาวเพื่อ “คุมไม่ให้กลับมา”
แม้กระจะจางลงหลังรักษา แต่ถ้าไม่ป้องกันให้ดี ก็อาจกลับมาเข้มได้อีกในเวลาไม่กี่เดือน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ “กันแดด” และ “การเสริมเกราะผิว”
- ใช้กันแดด SPF50+ PA++++ ปริมาณ 2 ข้อนิ้วมือทุกเช้า และทาซ้ำทุก 3–4 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- เลือกกันแดดที่มี Iron Oxides / Antioxidant เพื่อป้องกันแสงฟ้า
- เสริมมอยส์เจอไรเซอร์ที่มี Ceramide และ Niacinamide เพื่อให้เกราะผิวแข็งแรง ลดความไวต่อแสง
สิ่งที่ควรเลี่ยงเมื่อเป็นกระ
เมื่อเป็นกระแล้ว การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นบางอย่างสำคัญไม่แพ้การรักษา เพราะแม้เลเซอร์หรือยาทาจะช่วยจางได้ แต่หากยังทำพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำ ๆ กระก็กลับมาเข้มได้ง่าย
1. การขัดผิวหรือสครับแรง ๆ
การสครับแรงเกินไปทำให้เกราะผิวเสียและไวต่อแดดมากขึ้น ส่งผลให้เม็ดสีทำงานหนักขึ้นจนกระเข้มกว่าเดิม
2. การใช้ครีมหน้าขาวที่ไม่ได้มาตรฐาน
ครีมเถื่อนมักมีสารต้องห้าม เช่น ปรอทหรือสเตียรอยด์ ซึ่งทำให้ผิวบางลง เห็นผลเร็วแต่กระตุ้นให้กระและฝ้าเข้มกว่าเดิมในระยะยาว
3. การใช้ Hydroquinone ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน
ยานี้ช่วยลดเม็ดสีได้ดีแต่หากใช้ต่อเนื่องโดยไม่พัก จะเสี่ยงเกิด “ผิวด่างดำถาวร (ochronosis)” และผิวไวต่อแสงมากขึ้น
4. การโดนแดดโดยไม่ทาครีมกันแดดซ้ำ
แดดและแสงฟ้าเป็นตัวกระตุ้นหลักของกระ การทากันแดดเช้าอย่างเดียวไม่พอ เพราะประสิทธิภาพจะลดลงหลัง 3–4 ชั่วโมง
คำถามที่พบบ่อยเรื่อง “หน้าเป็นกระ”
Q: หน้าเป็นกระ ฝ้า ใช้ครีมอะไรดี?
A: ใช้ครีมที่มีส่วนผสมช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เช่น วิตามิน C, อาร์บูติน (Arbutin), กรดโคจิก (Kojic acid), และไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) รวมถึงต้อง ทาครีมกันแดดทุกวัน เพราะแดดคือศัตรูตัวร้ายของฝ้าและกระ
Q: หน้าเป็นกระ เกิดจากอะไร?
A: เกิดจากการที่เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป มักเกิดจากแสงแดด, ฮอร์โมนไม่สมดุล, หรือพันธุกรรม
Q: หน้าเป็นกระ รักษายังไง?
A: เริ่มจากป้องกันแสงแดดอย่างเข้มงวด ใช้ครีมลดเม็ดสี และถ้าอยากเห็นผลเร็วขึ้นสามารถทำหัตถการ เช่น เลเซอร์ Q-switch, IPL หรือเมโสหน้าใสสูตรลดเม็ดสี
Q: กระหายขาดไหม?
A: โดยทั่วไปกระจะ “คุมได้” มากกว่า “หายขาด” การรักษาอย่างต่อเนื่อง + การกันแดดอย่างมีวินัย จะทำให้กระจางลงมากและไม่กลับมาเข้มอีก
Q: ใช้เลเซอร์กี่ครั้งถึงเห็นผล?
A: โดยเฉลี่ย 3–6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดและความลึกของกระ โดยแพทย์จะประเมินทุกครั้งเพื่อปรับพลังงานให้เหมาะกับผิว
Q: ทำไมบางคนเลเซอร์แล้วกระเข้มขึ้น?
A: มักเกิดจากการใช้พลังงานไม่เหมาะสม หรือดูแลหลังเลเซอร์ไม่ดีจนเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) ซึ่งที่ The One Clinic จะใช้เทคนิคพลังงานต่ำหลายรอบเพื่อป้องกันปัญหานี้
Q: คนตั้งครรภ์รักษากระได้ไหม?
A: ควรหลีกเลี่ยงยาทาและเลเซอร์ ควรเน้นกันแดด มอยส์เจอไรเซอร์ และสารปลอดภัยอย่าง Niacinamide หรือ Vitamin C แทน
Q: กระกับฝ้าต่างกันอย่างไร?
A: “กระ” เป็นจุดสีน้ำตาลขอบชัด ขึ้นเป็นจุด ๆ ส่วน “ฝ้า” เป็นปื้นใหญ่กระจายทั่วโหนกแก้มและหน้าผาก เกิดจากฮอร์โมนและแดดร่วมกัน
สรุป
“หน้าเป็นกระ” รักษาให้จางลงและคุมได้จริง หากเข้าใจสาเหตุและวางแผนอย่างถูกวิธี
หัวใจสำคัญคือ กันแดดอย่างมีวินัย + การใช้ยาทาอย่างต่อเนื่อง + เลเซอร์ในระดับพอดีตามแพทย์ประเมิน
ที่ The One Clinic แพทย์จะประเมินชนิดกระ ความลึกของเม็ดสี และความไวของผิวก่อนเริ่มรักษา เพื่อออกแบบแผนเฉพาะบุคคลแบบ “Gentle Bright Program” ซึ่งรวมเลเซอร์พลังงานต่ำ ยาทาเฉพาะจุด และการบำรุงเกราะผิวให้แข็งแรง ปลอดภัย เหมาะกับผิวเอเชียอย่างแท้จริง




