หลายคนคงเจอปัญหาสิวที่หลัง บ้างกฌมีสาเหตุ บ้างก็หาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้ วันนี้ The One Clinic จะพาไปทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง แนวทางการรักษา และการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ เพื่อไม่ให้สิวทิ้งรอยเอาไว้
สิวที่หลัง เกิดจากอะไร?
สิวที่หลังเป็นปัญหาที่กวนใจใครหลายคน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุคล้ายกับสิวบนใบหน้า แต่ก็มีปัจจัยเฉพาะที่ทำให้เกิดสิวที่หลังได้บ่อยกว่า ได้แก่:
ปัจจัยภายใน:
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ช่วงวัยรุ่นหรือช่วงมีประจำเดือน ฮอร์โมนอาจเปลี่ยนแปลง ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น เกิดการอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิว
- พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวมีแนวโน้มเป็นสิว ก็มีโอกาสที่คุณจะเป็นสิวได้ง่ายขึ้น
- ความเครียด: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมัน ทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
ปัจจัยภายนอก:
- เหงื่อและความอับชื้น: หลังเป็นบริเวณที่เหงื่อออกง่าย หากเหงื่อออกมากและไม่ระบายออก อาจทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
- การเสียดสี: เสื้อผ้าที่รัดแน่น หรือกระเป๋าเป้ อาจเสียดสีกับผิว ทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบ
- ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น ครีมอาบน้ำ โลชั่น หรือครีมกันแดด ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน อาจอุดตันรูขุมขนได้
- การทำความสะอาดไม่ทั่วถึง: หากทำความสะอาดหลังไม่สะอาด อาจทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นตอของการเกิดสิว
- ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดสิว
มีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง:
- อาหาร: อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและไขมันสูง อาจส่งผลต่อการเกิดสิวได้ง่ายในคนไข้บางราย
- การนอนไม่เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และเกิดสิวได้ง่ายขึ้น
รู้ให้ชัด! ชนิดของสิวที่หลัง
จริงๆ แล้วสิวที่หลังก็สามารถแบ่งได้เป็นหลายชนิดตามลักษณะและความรุนแรง เหมือนสิวที่เกิดบริเวณใบหน้า เราจึงควรแยกแยะสิวให้ถูกชนิด เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพค่ะ
1. สิวอุดตัน (Comedones):
- สิวหัวดำ (Blackheads): เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยความมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อสัมผัสกับอากาศ ส่วนที่อุดตันจะกลายเป็นสีดำ
- สิวหัวขาว (Whiteheads): เกิดจากการอุดตันเช่นเดียวกับสิวหัวดำ แต่รูขุมขนปิด ทำให้ส่วนที่อุดตันยังคงเป็นสีขาว
2. สิวอักเสบ (Inflammatory Acne):
- สิวตุ่มแดง (Papules): เป็นตุ่มแดงเล็กๆ บวม ไม่มีหัว เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน
- สิวหัวหนอง (Pustules): เป็นตุ่มแดงที่มีหัวหนองสีขาวหรือเหลือง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน
- สิวอักเสบชนิดก้อนลึก (Nodules): เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง มีความรู้สึกเจ็บที่บริเวณสิว
- สิวอักเสบชนิดถุง (Cysts): เป็นก้อนขนาดใหญ่ มีหนองอยู่ข้างใน มักเจ็บและทิ้งรอยแผลเป็นได้ง่าย
3. สิวผด (Acne Rosacea):
- เป็นผื่นแดง มีตุ่มแดงเล็กๆ คล้ายสิว มักเกิดบริเวณใบหน้า แต่ก็สามารถเกิดที่หลังได้เช่นกัน มักมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย
สิวที่หลัง VS สิวที่หน้า ต่างกันอย่างไร?
คนที่ไม่ค่อยเป็นสิวอาจจะสงสัยว่าสิวที่หลังและสิวที่หน้ามีความแตกต่างกันหรือไม่? หมอหนึ่งขอตอบตรงนี้เลยค่ะว่ามีทั้งความเหมือนและความแตกต่าง แต่โดยทั่วไปแล้วสิวที่หลังจะมีความรุนแรงกว่า รักษาได้ยากกว่าและใช้เวลานานกว่าจะหายดี
ความเหมือน:
- สาเหตุ: ทั้งสิวที่หลังและสิวที่หน้ามีสาเหตุหลักๆ เหมือนกัน คือ เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยความมันส่วนเกิน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรีย รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นตัวกระตุ้น เช่น ฮอร์โมน พันธุกรรม ความเครียด ก็มีผลต่อการเกิดสิวทั้งสองบริเวณ
- ชนิดของสิว: สิวที่หลังและสิวที่หน้ามีชนิดต่างๆ เหมือนกัน เช่น สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวผด
- การรักษา: หลักการรักษาสิวที่หลังและสิวที่หน้าคล้ายกัน คือ การลดการอุดตัน ลดการอักเสบ และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยส่วนมากก็จะใช้ยาในรูปแบบเดียวกัน เช่น ยาทา ยารับประทาน หรือการรักษาด้วยแสง
ความแตกต่าง:
- ความหนาของผิว: ผิวที่หลังมีความหนากว่าผิวที่หน้า ทำให้สิวที่หลังมักมีขนาดใหญ่กว่า และอักเสบได้ง่ายกว่า
- ต่อมไขมัน: ต่อมไขมันที่หลังมีขนาดใหญ่กว่าและผลิตน้ำมันมากกว่าต่อมไขมันที่หน้า ทำให้สิวที่หลังมักมีน้ำมันมากกว่า และเกิดสิวหัวดำ สิวหัวขาวได้ง่ายกว่า
- การดูแล: ผิวที่หลังมักถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้า ทำให้เกิดการเสียดสีและความอับชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลัง นอกจากนี้ การทำความสะอาดหลังอาจทำได้ยากกว่าการทำความสะอาดหน้า ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียได้ง่าย
- การตอบสนองต่อการรักษา: สิวที่หลังอาจตอบสนองต่อการรักษาช้ากว่าสิวที่หน้า เนื่องจากผิวที่หลังมีความหนากว่า และดูแลยากกว่า
สิวที่หลังและสิวที่หน้ามีสาเหตุและชนิดคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างในเรื่องความหนาของผิว ขนาดของต่อมไขมัน การดูแล และการตอบสนองต่อการรักษา ดังนั้น การรักษาสิวที่หลังอาจต้องใช้ยาที่แรงกว่า หรือใช้เวลานานกว่าการรักษาสิวที่หน้านั่นเอง
แชร์วิธีป้องกันสิวที่หลัง
การป้องกันสิวที่หลังสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการดูแลผิวพรรณ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดสิวที่หลัง ตามหมอหนึ่งไปดูกันเลยค่ะ
1. การดูแลผิวพรรณด้วยตัวเอง:
- ทำความสะอาดผิวที่หลังอย่างถูกวิธี: ควรใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำสูตรอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว และไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ ทำความสะอาดหลังให้ทั่วถึง โดยเฉพาะหลังออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก หากไม่ได้อาบน้ำทันทีก็ควรซับเหงื่อให้แห้งและเปลี่ยนไปใส่เสื้อที่สะอาดแทน
- ทาครีมบำรุงผิว: เลือกใช้ครีมบำรุงผิวสูตร Oil-free หรือ Non-comedogenic ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
- หลีกเลี่ยงการแกะเกาสิว: การแกะเกาสิวจะทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ เพิ่มโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น
2. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์:
- เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เช่น ผ้าฝ้าย ควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือทำจากผ้าใยสังเคราะห์ที่ทำให้เกิดการเสียดสีและความอับชื้น
- ทำความสะอาดเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนบ่อยๆ: เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
- เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่เหมาะสม: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากเกินไป เพราะอาจไหลลงมาอุดตันรูขุมขนที่แผ่นหลังได้
- ใช้ครีมกันแดดสูตร Oil-free เป็นประจำ: เพื่อป้องกันผิวไหม้และระคายเคือง ซึ่งอาจกระตุ้นให้ผิวอ่อนแอและเกิดสิว
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:
- อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกาย: เพื่อชำระล้างเหงื่อและสิ่งสกปรกออกจากผิว
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและขับของเสียออกจากร่างกาย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน การนอนหลับไม่พอส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนผิดปกติและเกิดสิวขึ้นได้ (ref: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7445853/)
- ลดความเครียด: งานวิจัยล่าสุดของ National Center for Biotechnology Information บ่งชี้ว่าความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวได้
คำถามยอดฮิต อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงทำให้เกิดสิวหรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดสิวในทุกคน แต่มีงานวิจัยบางส่วนที่บ่งชี้ว่าอาหารเหล่านี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดสิวในบางคนได้ค่ะ
อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงอาจส่งผลต่อการเกิดสิวได้อย่างไร?
- เพิ่มระดับอินซูลิน: อาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงต้องผลิตอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล ซึ่งอินซูลินอาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิว และส่งผลต่อการเกิดสิวได้
- กระตุ้นการอักเสบ: อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ อาจกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สิวแย่ลงได้
- ส่งผลต่อฮอร์โมน: อาหารบางชนิด เช่น ผลิตภัณฑ์นม อาจมีผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันและทำให้เกิดสิวได้
ใครที่ควรระวังเรื่องอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงบ้าง?
- ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย: หากคุณมีประวัติเป็นสิว หรือสังเกตว่าสิวของคุณมักจะขึ้นหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด ควรลองลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงแล้วสังเกตความเปลี่ยนแปลง
- ผู้ที่เป็นสิวอยู่แล้ว: หากคุณกำลังรักษาสิวอยู่ การลดปริมาณอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงอาจช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น
วิธีรักษาสิวที่หลังอย่างเห็นผล
สำหรับวิธีการรักษาสิวที่หลังขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของสิวค่ะ แพทย์จะต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยทั่วไปก็มีวิธีการรักษาค่อนข้างหลากหลาย ดังนี้
1. การดูแลผิวด้วยตนเอง:
- ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี: ใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำสูตรอ่อนโยน ทำความสะอาดหลังวันละ 2 ครั้ง และซับผิวให้แห้งก่อนสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด เพื่อลดความอับชื้นที่หลัง
- ทาครีมบำรุงผิว: เลือกใช้ครีมบำรุงผิวสูตร Oil-free หรือ Non-comedogenic ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ควรบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรง
- หลีกเลี่ยงการแกะเกาสิว: การแกะเกาสิวจะทำให้เกิดการอักเสบและอาจจะทำให้แผลติดเชื้อ รักษายากกว่าเดิม
2. การใช้ยา:
- ยาทา:
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และลดการอุดตันรูขุมขน
- Adapalene: เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ช่วยลดการอุดตันรูขุมขน
- การฉีดสิว: เป็นการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในสิวอักเสบ เพื่อลดการอักเสบและขนาดของสิว
- การกดสิว: ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันการอักเสบและการเกิดรอยแผลเป็น
- การรักษาด้วยแสง (Phototherapy): เช่น การฉายแสงสีฟ้าหรือการใช้เลเซอร์รักษาสิว ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีเช่นกัน
หมอหนึ่งแนะนำเพิ่มเติม:
- หากสิวที่หลังไม่ดีขึ้นหลังจากการดูแลด้วยตนเอง หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
- การรักษาสิวต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการดูแลผิวและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จัดการความเครียด และทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี ก็ช่วยลดโอกาสเกิดสิวที่หลังได้
รอยดำรอยแดงจากสิวที่หลัง
สำหรับปัญหารอยดำรอยแดงจากสิวที่หลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสิวมีการอักเสบรุนแรง หรือมีการแกะเกาสิวอย่างผิดวิธี ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองและการสร้างเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้น โดยรอยเหล่านี้อาจส่งผลให้คุณรู้สึกขาดความมั่นใจ กังวลใจ และอยากรักษาให้หายขาด โดยการรักษาก็มีหลายวิธีที่เห็นผลและแพทย์ผิวหนังแนะนำ
วิธีรักษารอยดำรอยแดงจากสิวที่หลัง:
1. การดูแลผิวด้วยตนเอง:
- ทาผลิตภัณฑ์ลดรอยดำรอยแดง: เลือกครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว เช่น วิตามินซี ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) กรดโคจิก (Kojic acid) หรือสารสกัดจากชะเอมเทศ
- ทาครีมกันแดด: สิ่งสำคัญมากในการป้องกันไม่ให้รอยดำรอยแดงเข้มขึ้นคือการทาครีมกันแดดเป็นประจำ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ ขึ้นไป และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ เพราะแสงแดดคือตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีขึ้น
- ผลัดเซลล์ผิว: การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA อย่างอ่อนโยน สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สามารถช่วยให้รอยจางลดลงได้เร็วขึ้นและมีสีผิวที่สม่ำเสมอ
2. การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง:
- Laser: การใช้ Laser รักษารอยดำ จะเข้าไปทำลายเม็ดสีและลดรอยดำที่เกิดขึ้น หรือ Laser รักษารอยแดงจากสิว ที่เข้าไปทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวเพื่อลดการอักเสบและรอยแดงจางลง
- ยา: แพทย์อาจจ่ายยาที่มีส่วนประกอบบางชนิด เช่น กลุ่ม Retinoids เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว กลุ่ม Tranexamic acid เพื่อลดรอยแดง หรือ กลุ่ม Hydroquinone เพื่อลดรอยดำ
ระยะเวลาในการรักษา:
สำหรับระยะเวลาในการรักษารอยดำหรือรอยแดงจากสิวขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความเข้มของรอยดำรอยแดง สภาพผิว และวิธีการรักษาที่เลือกใช้ โดยทั่วไปอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่ารอยจะจางลงจนสังเกตได้
FAQ คำถามที่พบบ่อย
Q : สิวที่หลัง กดหรือบีบได้ไหม?
A : หมอขอห้ามโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้มีอาการอักเสบมากขึ้น ทำให้สิวหายช้า และยังส่งผลให้เกิดรอยดำหรือแผลเป็นได้
Q : รักษาสิวที่หลัง ประมาณกี่วันถึงจะหาย
A : สิวที่หลังแต่ละประเภทจะใช้เวลารักษาต่างกัน ดังนี้
- สิวอุดตันเล็กน้อย: อาจใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ในการรักษา
- สิวอักเสบ: อาจใช้เวลา 2-3 เดือน หรือนานกว่านั้น
- สิวรุนแรง: ใช้เวลาหลายเดือน หรืออาจต้องรักษาต่อเนื่องนานเป็นปี
โดยทั่วไปแล้วสิวที่หลังใช้เวลารักษานานกว่าสิวบนใบหน้า เพราะสิวที่หลังจะมีความรุนแรงกว่าและรักษาได้ยากกว่า
Q : รอยดำ รอยสิวที่หลังหายเองไหม?
A : ไม่สามารถหายไปเองได้ ต้องใช้ยาทาลดเม็ดสี หรือ รักษาด้วยการทำ Laser เท่านั้น
Q : เป็นสิวที่หลังเมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
A : หลังจากการดูแลผิวอย่างถูกวิธีและใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หาซื้อได้ทั่วไปแล้ว แต่สิวไม่ดีขึ้นภายใน 4-8 สัปดาห์ ก็ควรไปพบแพทย์ หรือถ้าสิวมีอาการรุนแรง มีอาการปวด บวม แดง มีหนองมาก หรือมีจำนวนมากและกระจายเป็นบริเวณกว้าง ก็ให้รีบพบแพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอนานถึง 4 สัปดาห์
สิวที่หลัง รักษาได้ วางใจ The One Clinic
หากคุณมีปัญหาสิวที่หลัง หรือสิวประเภทต่างๆ สามารถเข้ามาพบหมอหนึ่งเพื่อรับคำปรึกษา ที่ The One Clinic ได้ทุกวัน เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่สามารถวินิจฉัยอาการและออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคล ทำให้สิวหาย ไม่กลับมาเป็นซ้ำ รวมทั้งผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน
สำหรับผู้ที่สนใจนัดหมาย หรือ สอบถามโปรโมชั่นประจำเดือนนี้ โทร. 093-583-0921 หรือ แอดไลน์ @theoneclinic ได้เลยค่ะ