“ทำไมผมถึงบางแค่ตรงกลางหัว?” คำถามที่หลายคนอาจเริ่มสงสัยเมื่อเห็นเส้นผมบริเวณกลางศีรษะบางลงชัดเจนขึ้นทุกวัน จากที่เคยหนาแน่นกลายเป็นเห็นหนังศีรษะโผล่เป็นวงๆ เหมือน “ไข่ดาว” โดยไม่รู้ตัว บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในความจริงแล้ว นี่คือ สัญญาณเริ่มต้นของภาวะ ผมร่วง แบบถาวร ที่ต้องได้รับการดูแลก่อนสายเกินไป
ภาวะ “ผมบางกลางหัว” มักเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม ฮอร์โมน หรือแม้แต่ความเครียดสะสมในชีวิตประจำวัน หากปล่อยไว้นานอาจลุกลามจนกระทบความมั่นใจ และต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟู
ในบทความนี้ The One Clic จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของผมบางกลางหัว พร้อมแนวทางการฟื้นฟูรากผมให้กลับมาหนาขึ้นอีกครั้ง ด้วยวิธีการที่ปลอดภัย เห็นผลจริง เพื่อให้คุณกลับมามีผมที่แข็งแรงและมั่นใจได้อีกครั้ง
สารบัญ
ผมบางกลางหัวคือสัญญาณอะไร? รู้ทันก่อนผมบางลุกลามทั้งศีรษะ
ผมบางกลางหัว หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Vertex Baldness หรือ Androgenetic Alopecia (AGA) ในรูปแบบที่เกิดบริเวณกลางศีรษะ (กระหม่อมหรือขวัญ) เป็นลักษณะของภาวะผมร่วงที่เส้นผมบริเวณนั้นจะค่อยๆ บางลง เล็กลง และร่วงไปในที่สุด จนเห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้น
ลักษณะของผมบางกลางหัวเป็นอย่างไร?
โดยทั่วไปจะเริ่มจากวงเล็ก ๆ บริเวณกลางศีรษะ และค่อย ๆ ขยายวงกว้างออกไปคล้าย “ไข่ดาว” ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบบ่อยมากในผู้ชาย แต่ก็สามารถพบในผู้หญิงได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงวัยที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง
อาการเตือนเริ่มต้นที่ไม่ควรละเลย
โดยปกติคนเราจะมีผมร่วงประมาณ 50–100 เส้นต่อวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากคุณสังเกตเห็นว่า…
- มีผมร่วงติดหมอนหลังตื่นนอน
- ผมร่วงเต็มพื้นห้องน้ำหลังสระผม
- ผมติดหวีออกมาเป็นกำมือทุกครั้งที่หวี
นั่นคือสัญญาณว่าผมของคุณเริ่มบางผิดปกติ และอาจเข้าสู่ระยะของ AGA แล้ว
สัญญาณร่วมที่ควรระวังเพิ่มเติม
นอกจากผมร่วงแล้ว หากคุณมีอาการเพิ่มเติม เช่น
- คันหนังศีรษะบ่อย
- ระคายเคือง แดง หรือรู้สึกแสบ
- มีรังแคผิดปกติหรือสะเก็ดแห้งติดหนังศีรษะ
สิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการของ หนังศีรษะอักเสบ ซึ่งจะยิ่งกระทบต่อรากผม ทำให้ ผมบาง รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ทำไมผมถึงบางเฉพาะตรงกลางหัว?

หลายคนสงสัยว่า… ทำไมผมไม่บางทั่วศีรษะพร้อมกัน แต่กลับบางเฉพาะจุด เช่น กลางศีรษะ (บริเวณขวัญ) หรือแนวไรผมด้านหน้า?
คำตอบอยู่ที่ 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ “พันธุกรรม” และ “ตัวรับฮอร์โมน (Androgen Receptors)”
ความจริงคือ รากผมในแต่ละบริเวณบนศีรษะ ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด รากผมบางจุดจะมีความไวต่อฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับภาวะผมร่วงจากกรรมพันธุ์ หรือ Androgenetic Alopecia (AGA) มากกว่าบริเวณอื่น
โดยเฉพาะบริเวณ กลางศีรษะและแนวผมด้านหน้า จะมีตัวรับฮอร์โมน DHT หนาแน่นเป็นพิเศษ ทำให้ ไวต่อการกระตุ้นของ DHT มากกว่า เมื่อฮอร์โมนนี้จับกับรากผม จะส่งสัญญาณให้รากผมหยุดการเจริญเติบโต กลายเป็นผมเส้นเล็ก บางลง สั้นลง และสุดท้ายก็หลุดร่วง
ผมบางกลางหัวในผู้ชาย (M-Shaped & Vertex Pattern)
- ลักษณะ: เริ่มบางจากแนวผมด้านหน้า โดยเฉพาะบริเวณขมับทั้งสองข้าง เมื่อแนวผมร่นเข้าไปมากขึ้น จะเห็นรูปทรงของแนวผมคล้ายตัว “M”
- การสังเกต: หน้าผากจะเริ่มดูกว้างขึ้น มุมของหน้าผากที่เคยเป็นเส้นตรงหรือโค้งมนจะหายไป
- สาเหตุ: เกิดจากรากผมบริเวณขมับและแนวหน้า มีความไวต่อ DHT สูง ทำให้ผมบางและหลุดร่วงเร็วกว่าบริเวณอื่น
ผมบางกลางหัวในผู้หญิง (Diffuse Thinning Pattern)
- ลักษณะ: เริ่มบางจาก “รอยแสกผม” ซึ่งจะค่อย ๆ กว้างขึ้นเรื่อย ๆ ผมบริเวณกลางศีรษะและด้านบนจะบางลงทั่ว ๆ ไป ทำให้ดูผมลีบแบน ไม่มีวอลลุ่ม เห็นหนังศีรษะชัด
- ข้อแตกต่าง: แนวผมด้านหน้าของผู้หญิงมักจะ ยังคงอยู่ตามปกติ ไม่ถอยร่นเหมือนในผู้ชาย
- การสังเกต: จุดเริ่มต้นที่สังเกตได้ง่ายที่สุดคือ “รอยแสกกว้างขึ้น” มองจากด้านบนจะเห็นลักษณะคล้าย ต้นคริสต์มาส (Christmas Tree Pattern) โดยปลายรอยแสกกว้างที่สุดด้านหน้า และแคบลงทางด้านหลัง
ผมบางกลางหัว เกิดจากอะไร?
อาการ ผมบางกลางหัว (Thinning at the Crown) เป็นหนึ่งในรูปแบบของผมร่วงที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ชาย และมักเริ่มจากบริเวณ “ขวัญ” หรือกลางศีรษะก่อนจะค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้น
แม้ว่าสาเหตุหลักมักจะเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและฮอร์โมนเพศ แต่ในความจริงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการ ที่สามารถกระตุ้นหรือซ้ำเติมภาวะนี้ให้รุนแรงขึ้นได้เช่นกัน
1. พันธุกรรมและฮอร์โมน (Androgenetic Alopecia)
นี่คือ สาเหตุหลักและพบบ่อยที่สุด ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
- กลไก: รากผมบริเวณกลางศีรษะและแนวผมด้านหน้าจะมีตัวรับฮอร์โมนเพศชายชนิดหนึ่งที่เรียกว่า DHT (Dihydrotestosterone) ในปริมาณมาก เมื่อ DHT จับกับตัวรับเหล่านี้ จะกระตุ้นให้รากผมหดเล็กลง (เรียกว่า Miniaturization) ส่งผลให้เส้นผมที่งอกใหม่ บางลง สั้นลง และในที่สุด รากผมก็ฝ่อจนไม่สามารถสร้างผมใหม่ได้
- ในผู้ชาย: ผมจะบางบริเวณแนวผมด้านหน้า (รูปตัว M) และกลางศีรษะเป็นรูป “ไข่ดาว”
- ในผู้หญิง: ผมจะบางทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะบริเวณรอยแสกผมที่ค่อย ๆ กว้างขึ้น
2. อายุที่เพิ่มขึ้น (Aging)
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น การไหลเวียนโลหิตไปยังหนังศีรษะจะลดลง ส่งผลให้รากผมได้รับสารอาหารน้อยลง วงจรการเจริญเติบโตของผมจะช้าลง เส้นผมใหม่ที่งอกขึ้นจึง บางลงและมีความหนาแน่นลดลง ซึ่งเป็นกระบวนการเสื่อมตามธรรมชาติ
3. ความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress)
ความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะผมร่วงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Telogen Effluvium ได้ เช่น:
- เครียดจากการผ่าตัด เจ็บป่วย คลอดบุตร
- เครียดจากอารมณ์สะสม หรือการนอนไม่พอเรื้อรัง
เมื่อร่างกายมีภาวะเครียดสูง จะหลั่ง ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาในปริมาณมาก ซึ่งจะส่งผลให้รากผมเข้าสู่ “ระยะพัก” พร้อมกันจำนวนมาก และหลุดร่วงอย่างรวดเร็วในช่วง 2–3 เดือนถัดมา
4. ภาวะเจ็บป่วยและโรคประจำตัว
โรคบางชนิดสามารถส่งผลต่อสุขภาพเส้นผมโดยตรง เช่น:
- โรคต่อมไทรอยด์ผิดปกติ: ทั้งไทรอยด์ทำงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
- โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune): เช่น Alopecia Areata, โรค SLE
- โรคผิวหนังบริเวณหนังศีรษะ: เช่น ต่อมไขมันอักเสบ (Seborrheic Dermatitis), เชื้อราบนหนังศีรษะ
นอกจากนี้ ยาบางชนิด ก็มีผลข้างเคียงทำให้ผมร่วงได้ เช่น
- ยาเคมีบำบัด
- ยาลดความดันบางชนิด
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ยาต้านอาการซึมเศร้า
5. การขาดสารอาหาร (Nutritional Deficiencies)
เส้นผมต้องการสารอาหารหลายชนิดในการเจริญเติบโต หากร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง เส้นผมจะอ่อนแอ หลุดร่วงง่าย และบางลงได้
- ขาดธาตุเหล็ก: พบได้บ่อยในผู้หญิง และสัมพันธ์กับภาวะโลหิตจาง
- ขาดสังกะสี (Zinc)
- ขาดโปรตีน: ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของเส้นผม
- ขาดวิตามิน: โดยเฉพาะ ไบโอติน (Biotin) และ วิตามินดี (Vitamin D)
6. การใช้สารเคมีทำผมบ่อยเกินไป
ในบางกรณี ภาวะผมบางอาจไม่ได้เกิดจากรากผมอ่อนแอเสมอไป แต่อาจเกิดจากเส้นผมที่เปราะบางและขาดหลุดร่วงง่าย เนื่องจากการทำเคมีอย่างต่อเนื่อง เช่น:
- การ ฟอก ย้อม ยืด ดัด ผมบ่อยเกินไป
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง
- เทคนิคทำผมที่ผิดวิธีหรือไม่ได้รับการดูแลหลังทำ
กระบวนการเหล่านี้จะเข้าไป ทำลายโครงสร้างเคราตินของเส้นผม ทำให้เส้นผมอ่อนแอ แตกหักง่าย และอาจทำให้หนังศีรษะเกิดการอักเสบได้อีกด้วย
จากประสบการณ์ของ The One Clic พบว่า ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยปัญหาผมบาง เกิดจากการทำเคมีซ้ำ ๆ เช่น ยืดหรือดัดผมถี่เกินไป แต่เมื่อได้รับการรักษาและปรับพฤติกรรมตามคำแนะนำ ผมก็สามารถกลับมาหนาและแข็งแรงขึ้นภายใน 3–4 เดือน ได้เช่นกัน
หนังศีรษะมีผลต่อการผมบางหรือไม่?
หนังศีรษะเป็น “ดิน” ที่หล่อเลี้ยง “รากผม” หากหนังศีรษะไม่แข็งแรง หรือมีปัญหาเรื้อรัง ย่อมส่งผลโดยตรงต่อ วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม และอาจทำให้ผมค่อย ๆ บางลงโดยไม่รู้ตัว ผ่านกลไกต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. หนังศีรษะมันจัด
หนังศีรษะที่มีความมันมากเกินไปไม่ใช่แค่สร้างความรู้สึกไม่สบาย แต่ยังส่งผลเสียในระดับรากผมด้วย:
- ความมันส่วนเกิน เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและเชื้อรา
- อาจเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมน DHT (ฮอร์โมนตัวการของผมร่วงกรรมพันธุ์) ที่สูงขึ้นในบริเวณหนังศีรษะ
- ทำให้เกิด การอุดตันของรูขุมขน ขัดขวางการงอกของเส้นผมใหม่
- ส่งผลให้เส้นผมที่ขึ้นมาใหม่มี ขนาดเล็กลง อ่อนแอ และหลุดร่วงง่าย
2. หนังศีรษะมีรังแค สะเก็ด หรืออักเสบ
ภาวะหนังศีรษะผิดปกติที่เกิดจากโรคผิวหนังหลายชนิด มักส่งผลโดยตรงต่อรากผม ทำให้ผมงอกช้าหรือไม่งอกเลย เช่น:
▪ โรคต่อมไขมันอักเสบ (Seborrheic Dermatitis)
หนังศีรษะแดง คัน มีรังแคเหนียว ๆ เป็นแผ่นสีเหลือง มักเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่รากผม ส่งผลให้ รากผมไม่แข็งแรง เส้นผมงอกช้าหรือหยุดงอก
▪ เชื้อราบนหนังศีรษะ (Scalp Fungus)
ทำให้ หนังศีรษะลอก เป็นขุย มีอาการคันเรื้อรัง และอาจมี ผมร่วงเป็นหย่อม ได้โดยเฉพาะในเด็กหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
▪ โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) บนหนังศีรษะ
ทำให้เกิดปื้นแดงหนา มีสะเก็ดสีเงินปกคลุมอยู่ด้านบน เมื่อสะเก็ดหนาติดรากผมจะ ขัดขวางการงอกของเส้นผมใหม่ และอาจทำให้ผมบางเฉพาะจุดหรือลุกลามเป็นบริเวณกว้าง
สรุป: หนังศีรษะที่มีปัญหาไม่เพียงแค่สร้างความไม่สบาย แต่ยังส่งผลลึกถึงระดับรากผมโดยตรง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ ผมบาง ผมร่วงเรื้อรัง และฟื้นฟูยากขึ้นในอนาคต
หากคุณสงสัยว่าหนังศีรษะของตัวเองอาจมีปัญหา แนะนำให้เข้ารับการตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดกับผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมและหนังศีรษะ เพื่อหาทางดูแลที่ตรงจุดที่สุด
ผมบางกลางหัว รักษายังไงได้บ้าง?

การรักษาอาการ ผมบางบริเวณกลางศีรษะ มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการใช้ยาหรือเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ขั้นสูง
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควร เข้ารับการประเมินจากแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผมและหนังศีรษะ (Dermatologist) เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง เพราะแนวทางการรักษาที่ดีที่สุด จะต้องพิจารณาตามปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น สาเหตุของผมร่วง, เพศ, และระดับความรุนแรง
1. การใช้ยา: ยาปลูกผมที่ได้รับการรับรองจาก อย. และผ่านการวิจัยทางการแพทย์
A. ยาทาภายนอก (ใช้ได้ทั้งชายและหญิง)
Minoxidil (ไมนอกซิดิล):
เป็นยาทาที่ได้รับการรับรองจาก อย. ให้ใช้สำหรับรักษาภาวะผมบางจากพันธุกรรมโดยเฉพาะ
- กลไกการออกฤทธิ์: ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะ และช่วยยืดระยะการเจริญเติบโตของเส้นผม
- รูปแบบผลิตภัณฑ์: มีทั้งแบบสเปรย์และโฟม ความเข้มข้น 3% และ 5%
- ข้อควรรู้: ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันจึงจะเห็นผล และหากหยุดใช้ อาจทำให้ผมที่ขึ้นใหม่กลับมาร่วงได้อีก
B. ยารับประทาน (แยกแนวทางตามเพศ)
สำหรับผู้ชาย:
Finasteride (ฟิแนสเทอไรด์) เป็นยามาตรฐานสากล (Gold Standard) ที่ใช้รักษาภาวะผมร่วงจากกรรมพันธุ์ในผู้ชาย
- กลไก: ยับยั้งการสร้างฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้รากผมฝ่อ
- ข้อควรรู้: เป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น เพราะอาจมีผลข้างเคียง เช่น ความต้องการทางเพศลดลง หรือผลต่อฮอร์โมน
สำหรับผู้หญิง:
Anti-androgens (ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย) เช่น Spironolactone (สไปโรโนแลคโตน) อาจใช้ในกรณีที่แพทย์วินิจฉัยว่าผมบางมีสาเหตุจากฮอร์โมนเพศชายมากเกินไป
- ข้อควรรู้: ต้องได้รับการจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น และห้ามใช้โดยเด็ดขาดในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์
2. เซรั่ม และแชมพูบำรุงผม
เซรั่มและแชมพูบำรุงผม เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลายคนเริ่มใช้เมื่อต้องเผชิญปัญหาเส้นผมบาง แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าแต่ละผลิตภัณฑ์มีบทบาทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพื่อเลือกใช้ได้ตรงจุดและเห็นผลดีที่สุด
A. เซรั่มสำหรับหนังศีรษะ (Scalp Serum)
- เป้าหมายหลัก: เน้นดูแลปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น ลดการอักเสบของหนังศีรษะ, กระตุ้นการเกิดผมใหม่, ลดผมร่วง และควบคุมความมันส่วนเกิน
- วิธีการใช้: หยดเซรั่มลงบนหนังศีรษะโดยตรง แล้วนวดเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- ส่วนผสมที่พบบ่อย: สารสกัดจากโสม, Biotin, Caffeine, Peptides
โดยเฉพาะ Caffeine มีงานวิจัยรองรับว่า ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม และกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะได้ดี
3. วิธีธรรมชาติและสมุนไพร
การดูแลผมบางด้วยวิธีธรรมชาติและสมุนไพร เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลี่ยงสารเคมี หรือใช้ควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์
A. กลุ่มสมุนไพรยอดนิยม
- น้ำมันโรสแมรี่ / โสม: กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตที่หนังศีรษะ ช่วยให้รากผมได้รับสารอาหารมากขึ้น
- ว่านหางจระเข้ / มะกรูด / ดอกอัญชัน: มีฤทธิ์ปลอบประโลม ลดการอักเสบ และช่วยทำความสะอาดหนังศีรษะให้แข็งแรง ลดโอกาสการอุดตันของรูขุมขน
B. กลุ่มวิธีปฏิบัติพื้นฐานในชีวิตประจำวัน
- การนวดหนังศีรษะ: ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเองวันละ 5–10 นาที
โภชนาการ: ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย โปรตีน, ธาตุเหล็ก, และสังกะสี ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเส้นผมที่แข็งแรงจากภายใน
หัตถการทางการแพทย์ในการรักษาผมบางกลางหัว
สำหรับผู้ที่มีอาการ ผมบางกลางศีรษะระดับปานกลางถึงรุนแรง การดูแลเบื้องต้นอาจไม่เพียงพอ การรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยมีตัวเลือกหลากหลาย ทั้งแบบไม่ใช้การผ่าตัด ไปจนถึงการปลูกผมถาวร ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นและข้อพิจารณาที่แตกต่างกัน
LLLT (Low Level Laser Therapy)
LLLT หรือ การบำบัดด้วยแสงเลเซอร์พลังงานต่ำ (Photobiomodulation Therapy) เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและมีงานวิจัยรองรับในการรักษาภาวะผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ทั้งในเพศชายและหญิง
หัวใจของการทำ LLLT คือการใช้ แสงเลเซอร์สีแดงหรือแสงในช่วงใกล้อินฟราเรด ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ (ประมาณ 650–680 นาโนเมตร) ซึ่งแสงชนิดนี้จะไม่ก่อให้เกิดความร้อน และไม่ทำลายผิวหนัง
จุดเด่น: แสงสามารถทะลุลงไปถึงระดับเซลล์รากผม เพื่อ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการทำงานของรากผม ทำให้มีโอกาสเกิดเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
PRP (Platelet Rich Plasma)
PRP คือการนำเลือดของผู้เข้ารับการรักษามาปั่นแยกเพื่อสกัดเฉพาะ ส่วนเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet Rich Plasma) ซึ่งอุดมไปด้วย Growth Factors หรือสารกระตุ้นการเจริญเติบโตตามธรรมชาติของร่างกาย
เมื่อฉีด PRP กลับเข้าสู่หนังศีรษะ สารกระตุ้นเหล่านี้จะช่วย ซ่อมแซมรากผมที่อ่อนแอหรือเริ่มฝ่อ กระตุ้นการสร้างเส้นผมใหม่ให้กลับมาแข็งแรง หนาแน่น และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หมายเหตุ: PRP เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยเพราะใช้เลือดของตนเอง แต่ มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และจำเป็นต้องทำต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
การปลูกผมถาวร (Hair Transplant)
การปลูกผม เป็นวิธีรักษาผมบางและศีรษะล้านที่ได้ผลลัพธ์ถาวรและเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยเป็นการย้าย รากผมจากบริเวณที่แข็งแรงและไม่ไวต่อฮอร์โมน DHT (เช่น บริเวณท้ายทอยหรือด้านข้างศีรษะ – เรียกว่า Donor Area) ไปยังบริเวณที่ผมบาง (Recipient Area)
หลักการสำคัญคือ “ย้ายบ้านแต่ไม่เปลี่ยนนิสัย”
หมายความว่า รากผมที่ถูกย้ายไปจะยังคงคุณสมบัติดั้งเดิม คือ แข็งแรงและไม่หลุดร่วงอีก ทำให้ผมที่งอกขึ้นใหม่จากบริเวณปลูกเป็นเส้นผมถาวร
FUT (Follicular Unit Transplantation) – เทคนิคแบบผ่าตัด (Strip Method)
วิธีการ: แพทย์จะผ่าตัดหนังศีรษะบริเวณท้ายทอยเป็นแนวยาว (Strip) จากนั้นนำไปแยกรากผมแต่ละกอ (Follicular Unit) ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ แล้วนำไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการ
- ข้อดี: ได้จำนวนกราฟต์มากในครั้งเดียว, ราคาต่อกราฟต์ต่ำกว่า, ใช้เวลาผ่าตัดสั้นในเคสขนาดใหญ่
- ข้อเสีย: ทิ้งรอยแผลเป็นแนวยาวบริเวณท้ายทอย, ไว้ผมสั้นมากไม่ได้, เจ็บมากกว่าและพักฟื้นนานกว่า
FUE (Follicular Unit Extraction) – เทคนิคแบบเจาะ
แพทย์ใช้หัวเจาะขนาดเล็ก (0.6–1.0 มม.) เจาะรอบกอผม แล้วนำรากผมออกมาทีละกอ โดยไม่ต้องผ่าตัดแถบยาว
- ข้อดี: แผลเล็กมาก แทบไม่เห็นรอย, เจ็บน้อย, พักฟื้นเร็ว, สามารถไว้ผมสั้นได้
- ข้อเสีย: ราคาต่อกราฟต์สูงกว่า, ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า, ต้องโกนผมบริเวณท้ายทอยค่อนข้างสั้น
DHI (Direct Hair Implantation) – เทคนิคย่อยของ FUE
DHI เป็นเทคนิคที่พัฒนาจาก FUE โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Implanter Pen หรือ “ปากกาปลูกผม” ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดการบอบช้ำของรากผม
ความแตกต่างหลัก:
- แบบ FUE ปกติ: เจาะรูปลูกก่อน แล้วใช้คีมคีบรากผมใส่เข้าไป (2 ขั้นตอน)
- แบบ DHI: ใช้ปากกาบรรจุรากผมไว้ แล้วปลูกลงไปทันที (1 ขั้นตอน)
สรุป: DHI ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำสูง ควบคุมทิศทางและความลึกของเส้นผมได้ดี ลดโอกาสรากผมเสียหาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความธรรมชาติสูงและฟื้นตัวเร็ว
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจปลูกผม
แม้ว่าการปลูกผมจะให้ผลลัพธ์ถาวรและดูเป็นธรรมชาติที่สุด แต่ก็เป็น การลงทุนทั้งในด้านเวลาและค่าใช้จ่าย ดังนั้นการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูง คือ ปัจจัยสำคัญที่ตัดสินผลลัพธ์ทั้งด้านสุขภาพและความงาม
คำแนะนำสำหรับผู้หญิงที่ผมบางกลางหัว
ผมบางกลางหัวในผู้หญิง เป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวันอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อส่องกระจกแล้วเห็นรอยแสกกว้างขึ้น หรือเส้นผมดูบางจนเห็นหนังศีรษะชัดเจน
ข่าวดีคือ ปัจจุบันมีแนวทางดูแลและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถช่วยฟื้นฟูได้จริง ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหนก็ตาม
สาเหตุหลักที่พบบ่อยในผู้หญิง
- พันธุกรรมและฮอร์โมน: โดยเฉพาะในช่วงวัยหมดประจำเดือน ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เอสโตรเจน ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผมร่วงและบางลงอย่างเห็นได้ชัด
- ความเครียดสะสม: เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมผิดปกติ เส้นผมจะเข้าสู่ระยะพักเร็วขึ้นและหลุดร่วงก่อนเวลาอันควร
- การขาดสารอาหาร: โดยเฉพาะ ธาตุเหล็ก, สังกะสี (Zinc) และ โปรตีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเส้นผม
- ปัญหาหนังศีรษะ: เช่น การอักเสบเรื้อรัง, รังแคเหนียว, หรือรูขุมขนอุดตัน ซึ่งส่งผลให้รากผมอ่อนแอและงอกใหม่ได้ช้าลง
แนวทางการรักษาที่เหมาะกับผู้หญิง
แม้หลักการรักษาผมบางกลางศีรษะจะคล้ายกับผู้ชาย แต่ในผู้หญิงมีความแตกต่างที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องของยา:
- ยาฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride): เป็นยายับยั้ง DHT ที่ใช้ได้ดีในผู้ชาย แต่ ไม่แนะนำสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจมีผลต่อฮอร์โมนและทารกในครรภ์
- ยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone): เป็นยาต้านฮอร์โมนเพศชาย (Anti-androgen) ที่เหมาะสมกับผู้หญิงมากกว่า โดยช่วยลดผลกระทบของ DHT ต่อรากผม
แนะนำ: ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมโดยเฉพาะ เพื่อวางแผนการรักษาที่ปลอดภัยและตรงจุดกับสาเหตุที่แท้จริงของคุณ
วิธีป้องกันไม่ให้ผมบางลุกลาม
การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วย ชะลอการลุกลามของผมบาง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มตั้งแต่เนิ่น ๆ
1.การดูแลหนังศีรษะ (Scalp Care Routine)
- สระผมให้ถูกวิธี: ใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน (Sulfate-free) และสระเมื่อรู้สึกว่าหนังศีรษะเริ่มมัน อย่าปล่อยให้สิ่งสกปรกสะสมจนเกิดการอุดตันหรืออักเสบ ควรนวดเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วขณะสระเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- นวดหนังศีรษะทุกวัน: ใช้ปลายนิ้วนวดเบา ๆ ก่อนนอนหรือตอนสระผมประมาณ 3–5 นาที ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดให้ไปเลี้ยงรากผมได้ดีขึ้น
- ลดการทำร้ายผมโดยตรง: หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนสูงจากอุปกรณ์จัดแต่งทรงผม และลดการใช้สารเคมีแรง ๆ เช่น การย้อมสีเข้ม ฟอกสี ยืด หรือดัดผมบ่อยเกินไป
2. ด้านโภชนาการ (Nutrition Routine)
- โปรตีนต้องถึง: เส้นผมคือโปรตีนชนิดหนึ่ง ดังนั้นในแต่ละมื้อควรมีโปรตีนคุณภาพดี เช่น ไข่, อกไก่, ปลา, เต้าหู้, หรือกรีกโยเกิร์ต
- เติมธาตุเหล็กและสังกะสี: เพิ่มผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า, ปวยเล้ง และเสริมแร่ธาตุจากของว่างที่มีประโยชน์ เช่น ถั่วหรือเมล็ดฟักทอง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำ 6–8 แก้วต่อวัน จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงการลำเลียงสารอาหารไปยังรากผมอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ไลฟ์สไตล์ลดความเครียด (Lifestyle Routine)
- นอนให้เป็นเวลา: ควรนอนวันละ 7–8 ชั่วโมง และเข้านอน-ตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวัน เพื่อให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนอย่างสมดุล หากพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะหลั่ง คอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) มากขึ้น ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ผมร่วงเร็วขึ้น
- ขยับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ: เช่น เดินเร็ว, โยคะ, หรือยืดเส้นเบา ๆ สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ดี
- ปกป้องเส้นผมจากแสงแดด: หากต้องออกแดดนาน ๆ ควรใส่หมวกหรือใช้สเปรย์กันแดดสำหรับเส้นผม เพื่อป้องกันรังสี UV ทำร้ายหนังศีรษะและเส้นผม
4. หลีกเลี่ยงการมัดผมตึงเป็นประจำ
- พฤติกรรมที่ควรระวัง: การมัดหางม้าแน่น ๆ, ถักเปียรัด, หรือรวบผมทรง “ดังโงะ” เป็นประจำทุกวัน
- เหตุผล: พฤติกรรมเหล่านี้สร้างแรงดึงต่อรากผมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ ผมร่วงจากการดึงรั้ง (Traction Alopecia) ได้ในระยะยาว โดยรากผมจะอักเสบและอ่อนแอลงจนไม่สามารถผลิตเส้นผมใหม่ได้
ผมบางกลางหัว เมื่อไหร่ควรพบแพทย์เฉพาะทาง?
อาการ ผมบางกลางศีรษะ อาจเริ่มต้นอย่างช้า ๆ แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่วินิจฉัยอย่างถูกต้อง อาจลุกลามจนฟื้นฟูได้ยากขึ้น ดังนั้นหากคุณพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเส้นผมเพื่อประเมินอย่างละเอียด
6 สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
1. ผมร่วงในปริมาณมากและเร็วผิดปกติ
หากคุณเริ่มพบว่าผมร่วงเต็มหมอนตอนตื่นนอน, เต็มพื้นห้องน้ำหลังสระผม หรือร่วงติดหวีออกมาเป็นกำมือ — โดยเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ถึงเดือน และไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นสัญญาณของภาวะผิดปกติในวงจรเส้นผม
2. หนังศีรษะเริ่มเห็นชัดขึ้นแม้ตอนผมแห้ง
เมื่อส่องกระจกแล้วมองเห็นหนังศีรษะชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณรอยแสกที่ดูกว้างขึ้นกว่าปกติ แม้จะไม่ได้สระผมหรือผมไม่ได้เปียก นั่นแสดงว่าความหนาแน่นของเส้นผมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
3. มีอาการผิดปกติอื่นร่วมบนหนังศีรษะ
เช่น คันมาก เจ็บ แสบร้อน มีรังแคเป็นแผ่นหนา หรือเกิดผื่นแดงร่วมกับอาการผมร่วง อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคผิวหนังอักเสบ ซึ่งต้องอาศัยการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ
4. ผมร่วงเป็นหย่อม หรือเป็นวงกลมเรียบ
หากพบว่าผมร่วงเฉพาะจุดเป็นวงกลมเรียบ ๆ คล้ายเหรียญ หรือเป็นแผ่นวงใหญ่ นี่อาจเป็นอาการของโรค Alopecia Areata ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายรากผม และควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างเร็วที่สุด
5. ดูแลตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้น
คุณอาจพยายามดูแลตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด หรือใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผมต่าง ๆ เป็นเวลา 3–6 เดือน แต่ผมยังคงบางลงเรื่อย ๆ นี่คือสัญญาณว่าคุณอาจต้องได้รับการดูแลในระดับที่ลึกขึ้นกว่าเดิม
6. ปัญหาผมเริ่มกระทบความมั่นใจและจิตใจ
เมื่ออาการผมบางทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจ หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม หรือรู้สึกเครียดกับภาพลักษณ์ของตัวเอง นั่นคือเวลาที่คุณควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาทางแก้ไขอย่างเหมาะสมก่อนที่ความเครียดจะซ้ำเติมปัญหาเดิม
FAQ – คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผมบางกลางหัว
Q: ผมบางกลางหัวเกิดจากอะไรเป็นหลัก?
A: สาเหตุหลักคือ พันธุกรรม ซึ่งทำให้รากผมบริเวณกลางศีรษะมีความไวต่อ ฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) มากกว่าปกติ โดย DHT จะเข้าไปทำให้รากผมค่อย ๆ หดตัวเล็กลงจนฝ่อ และไม่สามารถสร้างเส้นผมใหม่ได้ ส่งผลให้ผมที่ขึ้นมามีขนาดเล็กลง บางลง และสั้นลงเรื่อย ๆ
Q: ผู้หญิงมีโอกาสผมบางกลางหัวไหม?
A: มีได้ค่ะ โดยจะอยู่ในรูปแบบของ Female Pattern Hair Loss ซึ่งผมจะบางแบบกระจายทั่วบริเวณกลางศีรษะ โดยเฉพาะตรงรอยแสกที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ แต่ต่างจากผู้ชายตรงที่ แนวผมด้านหน้ามักจะยังคงอยู่ ไม่ถอยร่น เข้าไป
Q: ใช้แชมพูปลูกผมได้ผลไหม?
A: ตามหลักความจริง แชมพูอย่างเดียวไม่สามารถปลูกผมใหม่ หรือรักษาภาวะผมบางจากพันธุกรรมให้หายขาดได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม แชมพูที่เหมาะสมสามารถช่วยเสริมการดูแล ลดการอักเสบ ควบคุมความมัน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้หนังศีรษะ ซึ่งเป็น “ตัวช่วยเสริม” ที่สำคัญในการรักษาผมร่วง
Q: ผมบางกลางหัวจำเป็นต้องปลูกผมหรือไม่?
A: ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ การปลูกผมเป็นเพียง “ทางเลือกสุดท้าย” สำหรับผู้ที่มีผมบางในระดับมากเท่านั้น หากยังอยู่ในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง มักแนะนำให้เริ่มด้วยวิธีอื่นก่อน เช่น
- การใช้ยา (ทั้งยาทาและยารับประทาน)
- การทำเลเซอร์พลังงานต่ำ (LLLT)
ซึ่งสามารถ ชะลอผมร่วงและทำให้เส้นผมที่เหลืออยู่แข็งแรงขึ้นได้ หากได้ผลดี ก็อาจไม่จำเป็นต้องปลูกผมเลยค่ะ
Q: ผมบางกลางหัวเกิดจากเชื้อราหรือหนังศีรษะอักเสบได้ไหม?
A: ได้แน่นอนค่ะ แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลักเท่าพันธุกรรม แต่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่พบได้ และลักษณะอาการจะต่างกันเล็กน้อย:
- เชื้อราบนหนังศีรษะ: เชื้อราจะทำลายเส้นผมโดยตรง ทำให้ผมเปราะ ขาดง่าย และร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือบางลงทั่วศีรษะ มักมีอาการคัน ขุย หรือสะเก็ดร่วมด้วย
- หนังศีรษะอักเสบ (Seborrheic Dermatitis): เป็นการอักเสบเรื้อรังที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน รากผมอ่อนแอ วงจรการงอกของเส้นผมถูกรบกวน ส่งผลให้ผมร่วงง่าย มักพบร่วมกับอาการคัน รังแคเหนียว และหนังศีรษะแดง
ข้อดีคือ หากผมบางเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ เมื่อรักษาที่ต้นตอของโรค เช่น ใช้ยาฆ่าเชื้อราหรือยาลดอักเสบ ผมมักจะสามารถงอกใหม่ได้ค่ะ
ดังนั้น การวินิจฉัยที่แม่นยำโดยแพทย์เฉพาะทางจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก